Latest News


Review ทริปวัยรุ่นพาเที่ยวญี่ปุ่น ด้วยตัวเองครั้งแรก ไม่ยาก และ ไม่ได้ใช้งบเยอะอย่างที่คิด

เจ้าของกระทู้จากพันทิพย์  https://www.facebook.com/MJourneyPrabin ได้มารีวิวทริปนี้
เนื่อจากช่วงนี้มีคนเที่ยว ญี่ปุ่นกันเยอะ และมีหลายคนที่อยากไป เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง แต่ยังไม่ทราบรายละเอียด นี่เป็นอีก รีวิว ที่น่าสนใจ ทาง Rookie ได้เอามาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน







วันนี้ผมจะมารีวิวทริปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกด้วยตัวเอง 5 วัน 5 คืน 21-27/11/2014 Tokyo ,Osaka และ Kyoto ด้วยงบ 23,000 บาท(รวมทั้งทริป ค่าตั๋ว+ ค่าที่พัก+ค่ากิน+ค่าเดินทาง+อื่นๆ ล่างๆ ผมจะมีตารางสรุปค่าใช้จ่ายแป๊ะไว้ให้ครับ) เดินทางจาก Tokyo ไป Osaka ด้วยตั๋วโปรฯ จากสายการบิน Peach airline และ ได้มีโอกาสนอนที่สนามบินคันไซ 1 คืน ผมจึงอยากจะมาแชร์ประสบการณ์การเดินทางต่างๆ ที่ได้ไปพบเจอ มาให้ได้ชมกันครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์ สำหรับคนที่อยากลองไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ได้พอเป็นแนวทางนะครับ เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองไม่ได้ยากและใช้งบเยอะอย่างที่คิดครับ

ทริปนี้วางทริปเพื่อไปถ่ายรูปโดยเฉพาะ หลายสถานที่ๆ ไปคือมุมเก็บภาพยอดฮิตของเหล่าตากล้องครับ ผมจะมีบอกการเดินทางไว้ด้วยครับ เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับใครที่ไม่เคยไปแล้วอยากจะลองไปสถานที่นั้นบ้างนะครับ ผมก็พึ่งมาฝึกถ่ายรูปตอนที่รู้ว่าต้องไปญี่ปุ่นนี่แหละนะครับ ภาพอาจจะสวยบ้างไม่สวยบ้าง ก็ปนๆ กันไปนะครับ

ทริปนี้หลักๆ ไปเที่ยว กัน 3 เมืองด้วยกันครับ Tokyo ,Osaka และ Kyoto อ้อ และไป Mt.Fuji ตรง Kawagujiko ด้วยครับ คือขาไปบินไปลงสนามบินนาริตะ โตเกียว(XJ600 ,วันที่ 21/11/2014) และ กลับทางสนามบินคันไซ โอซาก้า (XJ611 ,วันที่ 27/11/2014)

อย่างที่บอกนะครับ เป็นการไปครั้งแรก หากรีวิว ข้อมูลตรงไหนผิดพลาดไป ก็รบกวนชี้แนะด้วยครับ บางรูปบางสถานที่อาจจะไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูละเอียด ไม่คิดว่าจะได้มารีวิว เพราะมันค่อนข้างใช้เวลาทำอยู่พอสมควร ก็หวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่เข้ามาชมนะครับ

>>>รีวิวนี้เป็นรีวิวตอนเดียวจบเลยนะครับ อาจจะยาวๆ หน่อย

สำหรับใครที่อาจจะไม่ได้เล่นพันทิป ชอบสไตล์การท่องเที่ยวและเขียนรีวิวของผมสามารถติดตามได้อีกทางที่ Fanpage : https://www.facebook.com/MJourneyPrabinผมมีโอกาสได้เดินทางอยู่เรื่อยๆ ครับ จะมารีวิวให้ติดตามกันบ่อยๆครับ ^^

จุดเริ่มต้นของการเกิดทริปนี้ ก็เพราะว่า เราได้อานิสงส์ตั๋วโปรฯ จาก Thai Airasia X ที่เปิดเส้นทางใหม่บินตรง จากดอนเมืองสู่ญี่ปุ่น ได้มาในราคา ไปกลับ 7,290 บาท (รวมภาษีสนามบินแล้ว+ค่าตัดบัตร) มีเพื่อนเป็นแนวร่วมอีกคน ทำให้ ทริป นี้เราลุยได้เต็มที่มาก ตอนจองตั๋วเสร็จคือตอนนั้นยังไม่มีข้อมูลญี่ปุ่นอะไรในหัวเลยครับ ว่าต้องอะไรยังไง

            ก่อนไปก็ได้ยินมาครับ ว่าญี่ปุ่นมันยากและใช้เงินเยอะนะ ทริปนี้เนื่องจากไปเอง และไปเป็นครั้งแรกก็เลยทำให้ เตรียมตัวหาข้อมูลเยอะมากๆ จน 1 อาทิตย์ก่อนเดินทางผมไม่ต้องมัวมานั่งหาข้อมูลหรือทำทริปอะไรอีกแล้ว เพราะทุกอย่างถูกเตรียมไว้หมดแล้ว ถึงขนาดฝากพี่ที่ไปญี่ปุ่นหยิบใบ ตม กะใบศุลกากร มาเขียนไว้ก่อนเลย และพอดีเช่า Pocket wi-fi ไปด้วย มีเน็ตใช้ก็ง่ายๆละ สงสัยอะไรก็ Search เอา อย่างอื่นก็เดี๋ยวค่อยไปว่ากันหน้างานอีกทีครับ

*************
            มาเริ่มเดินทางเลยดีกว่าครับ เราบินกับ Thai Airasia X , filght XJ600 วันที่ 21/11/2014 เวลา 23.45 ที่เปิดเส้นทางใหม่บินตรง จากดอนเมืองสู่ญี่ปุ่น บินด้วยเครื่องบิน Airbus รุ่น A330 ลำใหญ่ ที่นั่ง 3 3 3 และมีนั่ง 2 ช่วงท้ายลำ โดยที่ขาไปเราบินไป ลงที่สนามบินนาริตะ (Terminal 2) นั่ง เครื่องไปประมาณ 6 ชั่วโมงก็ถึงสนามบินนาริตะ แต่ขาไปนี่ถึงเร็วกว่ากำหนดการประมาณ 1 ชั่วโมงเลยครับ ระหว่างบินสำหรับคนที่สั่งอาหารไว้ แอร์จะเริ่มเสิร์ฟ อาหารประมาณ 3 ชั่วโมงก่อนเครื่องลง ตอนนั้นรู้สึกว่าไม่น่าสั่งอาหารไว้เลย มันไม่ใช่เวลากินนี่หว่า บ้านเราพึ่งตีสามตีสี่เองนะเนี่ย สำหรับคนที่ไม่ได้สั่งก็นอนยาวได้เลย แต่ขาไปมีเด็กร้องไห้บนเครื่องทำให้นอนไม่ค่อยหลับเลย แต่ก็ไม่เป็นไรครับ เข้าใจว่าเป็นเด็ก



              สำหรับขาไปนี่เราได้ค่าตั๋วมาที่ 3,070 บาท มีซื้อน้ำหนักกระเป๋า เพิ่ม 15 กิโล 550 บาท(ซื้อ 30 โล หาร 2 กะเพื่อนครับ) และสั่งอาหารเพิ่ม 150 บาท + เลือกที่นั่งด้วย(อันนี้เลือกฟรีนะ เพราะเข้าไปเลือกช่วงที่ระบบหลุดฟรีมา ฮ่าๆ เพราะถ้าจะให้เสียตังค์เลือกที่นั่งไปกลับคนละ 800 บาท นี่ไม่เลือกแน่ๆ 555) เค้าบอกกันว่าถ้าใครอยากเห็น Mt.Fuji ให้ เลือกที่นั่งฝั่งซ้ายของเครื่องนะครับ เห็นว่าจะบินผ่านด้วยว่างั้น ผมก็อุตส่าห์จะเข้าไปเลือก แต่ที่นั่งฝั่งซ้ายติดหน้าต่างถูกจองเต็มหมดซะงั้น ก็เลยเลือกนั่งติดหน้าต่างฝั่งขวาแทน
ตอนที่ไป Counter  ขาไปที่ดอนเมือง คือผมทำ Web Check-in ไปที่ Counter เพื่อเอากระเป๋าไปโหลด เค้ามีช่องสำหรับคนที่ทำ Web Check-in มาแล้วด้วยนะครับ ไปถึงก็เอากระเป๋าไปโหลดได้เลย เหมือนจะเร็วนะแต่ขาไปนี่แถวยาวเลย แถวสำหรับคนที่ยังไม่ได้ทำ Web Check-in มา ไหลได้เร็วกว่าอีก เพราะมีหลาย Counter กว่า



              เครื่อง ลงจอดที่สนามบินนาริตะ ประมาณ 7 โมงเช้า เวลาที่ญี่ปุ่นนะครับ คือ ตามกำหนดการจะต้องลงจอด 8 โมงเช้า แต่กว่าจะผ่าน ตม รับกระเป๋า ก็ประมาณแปดโมงพอดีครับ ตอนที่ผ่าน ตม เค้าก็ถามว่าที่พักที่เขียนในใบ ตม อยู่ตรงไหนเหรอ ผมก็เลยบอกว่า ใกล้ๆ Ueno เค้าก็ให้ผ่านเลย ไม่ได้ขอดูอะไรเพิ่มเติมครับ จากนั้นเราก็ไปหาซื้อตั๋วรถไฟ และ Pass ที่จะใช้ไว้กันดีกว่าครับ เดินตามป้าย Railway ไปเลยครับ



การเดินทางเข้าเมือง จากสนามบินนาริตะ

1.N’EX หรือ Narita Express อันนี้จะเป็นของทาง JR ครับ ถ้าซื้อ JR Kanto pass สามารถใช้ขึ้นได้เลย หรือใครจะซื้อเป็นเที่ยวก็ได้ครับ ขาออกจาก Narita มีโปร อยู่ เที่ยวเดียว 1500 เยน
2.Skyliner และ Keisei , 2 อันนี้เป็นเจ้าเดียวกันครับ แต่มีรถไฟ 2 ประเภทให้เลือก  Skyliner จะใช้เวลาน้อยกว่า ประมาณ 40 นาทีก็ถึง Ueno ส่วน Keisei จะใช้เวลาประมาณ 70 นาทีครับ เจ้านี้จะมีโปรขายพร้อมบัตร pass day ของ Tokyo Metro พ่วงด้วย ใครซื้อพร้อมกันก็จะได้ถูกกว่าซื้อแยกครับ
3. Limousine bus ตัว เลือกสำหรับคนที่ไม่อยากลากกระเป๋า และอยากหลีกเลี่ยงช่วงเวลาก่อน หรือหลังเลิกงานของคนญี่ปุ่น ที่คนจะเยอะมาก ถ้าเราลากกระเป๋าใบใหญ่ๆ ไปอาจจะเกะกะเค้าพอสมควรครับ



หลักๆ ผมดูมาก็ 3 อย่างนี้นะครับ ก็เข้าไปดูรายละเอียดในลิงค์กันอีกทีนะครับ ว่าแบบไหนสะดวกกับเรา
ส่วนผม ผมเลือกซื้อ   1.JR Kanto pass ราคา 8300 เยน สำหรับใช้ 3 วัน และ 
                                   2.บัตร Skyliner(one-way) + 1 day Tokyo metro ราคา 2800 เยน
คือผมอยู่ในโตเกียว 4 วันครับ ก็เลยเก็บ JR Kanto pass เอาไว้ใช้วันที่ 2-4 ส่วนวันแรกก็เลยเลือกซื้อ .บัตร Skyliner สำหรับเดินทางออกจากสนามบิน พร้อม 1 day Tokyo metro เอาไว้ใช้เที่ยววันแรกครับ



             สำหรับ Counter ขายตั๋วของรถไฟทั้ง 2 เจ้านี้ก็อยู่ข้างๆ กันเลยครับ พอเครื่องลง รับกระเป๋าเสร็จ เดินออกมามองหาป้าย Railway ได้เลยครับ ตามป้ายมาเลย ลงบันใดเลื่อนมาชั้นหนึง แล้วจะเจอคนต่อแถวยาวๆ ตรง JR counter Ticket ส่วน Skyliner ก็อยู่ติดกันเลยครับ

            เดินทางออกจากสนามบินด้วย Skyliner รอบเวลา 9.15 น.ครับ บนรถไฟ Skyliner มีปลั๊กให้ชาร์ทไฟด้วยนะครับ จุดหมายเราคือ ไปลงสถานี Ueno และต่อรถไฟ Metro สาย Hibiya line ไปลงที่สถานี Mimami-Senju(H20) เพื่อไปยังที่พัก



ที่พักที่ โตเกียว 2 คืน

            สำหรับที่พักที่โตเกียว 2 คืน ผมเลือกพักที่ Palace Japan ครับ เลือกเป็นห้องแบบเตียง 2 ชั้น ที่นี่จะเป็นห้องน้ำรวมนะครับ ผมค่อนข้างชอบที่นี่นะครับ เพราะรู้สึกว่าค่อนข้างสะดวกสบายดี เพราะว่าสิ่งอำนวยความสะดวกค่อนข้างครบ มีห้องน้ำ ห้องอาบน้ำที่เพียงพอ และดีมาก  มีครัวให้ทำกับข้าว มีที่ซักผ้าหยอดเหรียญ ฝากกระเป๋าได้ มีตู้กดน้ำหยอดเหรียญ มี Free Wi-fi ทุก ห้องครับ และพนักงาน ทั้ง 3 คนคือโอเคมากครับ และสื่อสารภาษาอังกฤษดีมาก พอผมไปถึงเค้าก็อธิบายเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับการเข้าพัก เดินพาไปแนะนำห้องครัว ห้องดูทีวี เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ และอื่นๆ คือรัวภาษาอังกฤษมาเป็นชุด ประมาณเกือบ 20 นาที ผมนี่แปลตามแทบไม่ทันเลย 555



การเดินทาง
-   JR , Joban Line(21) สานสีน้ำเงิน , สถานี Mimami – Senju
-   Tokyo Metro : Hibiya Lineสายสีเทา , สถานี Mimami – Senju (H-20) ออกทาง South Exit

        สำหรับการเดินทาง ผมว่าสะดวกมากครับ คือสามารถเดินทางได้ทั้งรถไฟของ JR หรือ ของ Metro ก็ได้ครับ วันไหนใช้ pass ของ JR ก็ขึ้น JR Joban Line วันไหนใช้ pass day ของ Metro ก็เลือกใช้ Tokyo Metro : Hibiya Line ครับ ทั้ง 2 คือมาลงที่สถานนี Mimami – Senju ครับ แต่ใช้ Tokyo Metro จะเดินใกล้กว่าครับ คือสถานีมันอยู่ติดกันนะแหละครับ แต่ที่พักอยู่ห่างจากสถานีรถไฟหน่อยนะครับ ต้องเดินซักพักหนึงประมาณ 400 เมตร ก่อนถึงที่พักก็มีร้าน 7-11 นะครับ กลับมาดึกๆ ก็แวะหาอะไรกินได้ง่าย ส่วนห้องก็ไม่ได้กว้างนะครับ ตามรูปเลย คือมีเตียงแล้วก็ทางเดิน มีตู้เก็บของ เอากระเป๋าใบใหญ่ๆ ใส่ได้

                พอถึงที่พักก็เอากระเป๋า ฝากไว้ และก็ได้เวลาเที่ยวครับ


ลิงค์ที่พัก
Link : http://www.palace-japan.com/english/access/index.html


เริ่มเที่ยววันแรก 22/11/2014

            หลังจากเข้าที่พักเสร็จ เราก็ออกเดินทางไปที่ ย่าน ASAKUSA ครับ วันนี้ผมมีนัดเจอกับนายญี่ปุ่นครับ นัดเจอกันที่ สถานี Asakusa(G19) ทางออกที่ 3 ของ Tokyo Metro Ginza Line(G) นัดเจอกันเวลา 12.00 น. ผมก็ไปถึงตรงเวลาพอดี โผล่ออกมาจากทางออกก็เจอนาย ญี่ปุ่นเลยครับ จากนั้นก็พากันเดินเที่ยววัดเซนโซจิ กันเลยครับ



            ที่วัดเซนโซจิ คนเยอะมากก ยิ่งตรงหน้าโคมแดงประตูแรก นี่เยอะสุดๆ ทางเดินยาวไปจนถึงตัววัดก็แน่นตลอดทาง เห็นกรุ๊ปทัวร์เยอะมาก ทัวร์แทบทุกทัวร์คงจะมาลงที่วัดนี้แน่ๆ วันนี้แดดเปรี้ยงมาก พอเดินเข้าไปถึงในวัด ก็ไปกวักควันธูปเข้าหาตัวนะ ตรงที่เค้าจุดธูปไหว้กัน และก(เดินไปไว้พระข้างใน เลยมองไปเห็นที่เสี่ยงเซียมซี ก็เลยลองไปเสี่ยงดูบ้าง ก็อย่าลืมหยอดเงินทำบุญไปด้วยนะครับ พอเสี่ยงออกมาปรากฏว่าผลบอกดวงไม่ค่อยดี ก็เลยเอากระดาษนั้นไปมัดไว้ตรงที่มัด สำหรับคนที่ได้ผลทำนายไม่ค่อยดีนะ เดี๋ยวทางวัดเค้าจะเอาไปสะเดาะห์เคราะห์ให้ครับ

 

            เดินกันซักพักก็เริ่มหิวละ นายญี่ปุ่นก็เลยพาไปหาอะไรกินแถวๆ นั้น หลายร้านที่นายอยากพาไปกินก็คิวแน่นออกมาถึงนอกร้านเลย เราไม่รอครับ ฮ่าๆ หาร้านใหม่ดีกว่า จนมาเจอร้านนี้ครับ อาหารก็โอเคดีครับ หมดเกลี้ยงทุกอย่าง แน่นมาก



กินข้าวกันเสร็จ นายญี่ปุ่นก็ชวนไป Tokyo sky tree ครับ เพราะนายแกก็ยังไม่เคยขึ้นไปเหมือนกัน Tokyo sky tree ก็ไปง่ายๆ ครับ นั่งรถไฟไปสถานีเดียว จาก Asakusa ครับ ยอดตั๋วรถไฟก็เที่ยวละ 150 เยน ครับ หรือใครจะเดินไปก็ได้นะครับ เห็นหลายคนเดิน เดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำซูมิดะไปอะครับ แต่ผมว่ามันก็ไกลอยู่นะ ถ้าเดิน 



                พอไปถึง Tokyo sky tree ปรากฏว่าคิวยาวมาก ถ้าจะขึ้นไปด้านบนต้องรอประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ตอนนั้นก็ประมาณ 4 โมงเย็นละ ก็เลยบอกนายว่าไม่ขึ้นดีกว่า คิวยาวไป เดี๋ยวกลับไป แถว Asakusa กันดีกว่า และนายก็ถามอีกว่าอยากไปไหนต่อ แต่ก็ไม่รู้จะให้นายพาไปไหนอีก อีกอย่างนายต้องนั่งรถไฟกลับ Tochigi อีกประมาณ 2 ชั่วโมง ก็เลยแยกย้ายกันตรงนี้เลย ให้นายกลับเดี๋ยวจะค่ำไป ดีใจมากๆ ครับ ที่นายอุตส่าห์มาหาถึงที่โตเกียว

            แยกย้ายกับนายญี่ปุ่นแล้ว พวกผมก็เดินไปหาถ่ายรูป Tokyo sky tree ครับ ตอนนั้นก็เย็นๆ กำลังจะมืดพอ ดี ก็ถ่ายรูปนั่งเล่นกันอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ๆ รอจน Tokyo sky tree เปิดไฟ ตอนกลางคืนที่โตเกียวค่อนข้างหนาวนะครับ อุณหภูมิจะเลขตัวเดียว แต่ถ้ากลางวันมีแดดหน่อยก็สิบกว่าองศาครับ ที่ญี่ปุ่นช่วงหน้าหนาวนี่จะมืดเร็วมากครับ ซักสี่โมงเย็นนี่เริ่มแสงหมดละ ทำให้มีเวลาเที่ยวช่วงกลางวันค่อนข้างสั้น


ตอนกลางคืน Tokyo sky tree เปิดไฟแล้วสวยทีเดียวครับ

           พอถ่ายรูปริมแม่น้ำซูมิดะเสร็จ ก็คิดกันว่าไปไหนดี จริงๆ ในแผนคือจะไปถ่ายรูป Tokyo Tower ต่อ แต่ดันไม่ได้หยิบขาตั้งกล้องมาจากที่พัก เพราะวันนี้ต้องมาเดินเที่ยวกะนายญี่ปุ่นกลัวจะเกะกะ ก็เลยพากันไปดูของที่ตึกม่วงทาเคยะ Takeya เป็นตึกที่ขายของค่อนข้างถูกนะครับ ดูข้อมูลเพิ่มเติมในลิงค์นะครับ ตรงนี้ผมไม่ได้ถ่ายรูปมาเลยครับ มาเดินดูของได้แป๊ปเดียวครับ แล้วก็ปิด ปิดเร็วมากครับ 20.30 น.ก็ปิดแล้ว
ลิงค์ตึกม่วงทาเคยะ Takeya [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

           ก็เลยพากันกลับที่พักเลยครับ แวะซื้อของที่ 7-11 ไปกินก่อนกลับ + กลับมาม่า ปลากระป๋องที่พกไปจากเมืองไทย ซดน้ำร้อยๆ อากาศหนาวๆ นี่มันแซ่บจริงๆ ครับ ฮ่าๆ คือวันนี้เรากลับถึงที่พักประมาณ สามทุ่ม กลับที่พักค่อนข้างเร็ว เพราะว่าเหนื่อยๆ กับการเดินทางมาตั้งแต่เมื่อคืน มาถึงก็เที่ยวต่อเลย คืนแรกก็เลยพักผ่อนเต็มที่เตรียมลุยวันพรุ่งนี้ ต่อ



วันที่ 2   23/11/2014

สวัสดีวันที่ 2 ที่ญี่ปุ่นครับ มาเริ่มเที่ยวกันต่อเลย บอกเลยวันนี้เที่ยวกันจนขาลาก เดินเยอะมากฮ่า ๆ

            เช้านี้เราตื่นกันค่อนข้างเช้าครับ เมื่อคืนก็พักผ่อนกันเต็มที่มาก อาบน้ำแต่งตัวเสร็จพร้อมเที่ยวตอน 7 โมงเช้า ก่อนเที่ยวก็เลยลงไปนั่งกินกาแฟ + ขนมปังพายสับปะรด ที่พกมาจากเมืองไทย เรียบร้อบครับ มื้อเช้า ฮ่าๆ ออกแนวประหยัดนะเนี่ย คือก่อนมากลัวว่าพวกของกินที่ญี่ปุ่นมันจะแพงครับ ก็เลยโหลดเสบียงมาไว้กินเยอะเลย แต่พอมาถึงก็ได้รู้ว่ามันไม่ได้แพงนะ ของถูกๆ ตามซุปเปอร์ หรือข้าวตามร้านทั่วไป มันก็ไม่ได้แพงนะ แต่คือพกมาแล้วก็ต้องกินให้หมด จะทิ้งก็เสียดายครับ ^^

            และที่เที่ยวที่แรกของเราของเราวันนี้คือ ศาลเจ้าเมจิครับ ออกเดินทางกันเลย วันนี้เราเริ่มใช้ JR Kanto pass เป็นวันแรก วิธีใช้ก็ ไปตรงช่องซ้ายสุดหรือขวาสุดที่มี จนท อยู่ แล้วโชว์ pass ให้เค้าดูเลยครับ ขาออกจากสถานีก็เหมือนกัน เค้าก็จะให้เราผ่านไปเลย เราไม่ต้องไปแตะบัตรหรือเสียบบัตรที่เครื่องนะครับ



              วันนี้ผมใช้  JR Kanto pass นั่งมาลงที่สถานี ลงสถานี Harajuku ได้เลยครับ(JR Yamanote line) ทางออก Omote-sando Exit (ฝั่งตรงข้ามก็เป็นย่าน Harajuku ย่านดังของญี่ปุ่นอีกหนึ่งย่านครับ)ออกมาก็เลี้ยวขวา เดินตรงไปอีกซักนิด มองทางขวาไว้ก็จะเจอทางเข้าศาลเจ้าครับ หาไม่ยาก 

                ตั้งแต่ทางเดินเข้าไปศาลเจ้าเมจิ ร่มรื่นมากๆ ครับ ต้นไม้ใหญ่ตลอดทาง ก็แวะเก็บภาพเรื่อยๆ เดินไม่ถึงศาลเจ้าซะที จนเพื่อนบอกเดินให้ถึงศาลเจ้าก่อนได้ไหม 555 ผมนี่ฮาเลย ทริปนี้ตั้งใจมาเก็บภาพก็ต้องแวะหน่อยละ ฮ่าๆ วันนี้ที่ศาลเจ้ามีพิธีแต่งงาน รู้สึกว่าจะมีคนมาเข้าพิธีแต่งงานที่นี่บ่อยนะครับ เพราะเห็นหลายรีวิวก็เจอเหมือนกัน ก่อนเข้าศาลเจ้าที่ญี่ปุ่นจะต้องมีการตักน้ำลางมือล้างปากหน่อยนะครับ เป็นธรรมเนียม (น้ำเย็นมาก ล้างนานนี่มือชาแน่ๆ) เดินเล่นที่นี่ซักพักก็พากันไปที่ต่อไปครับ

สำหรับวิธีเดินทางมายังศาลเจ้าเมจิ : 

>วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย C-Chiyoda Line (สีเขียวเข้ม) / สาย F-Fukotoshin Line (สีน้ำตาลทอง) ลงสถานี C03/F15-Meiji-Jingumae ทางออก 2
>วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote Line (สายวงกลม-สีเขียว) ลงสถานี Harajuku ทางออก Omote-sando Exit


ไปต่อกันที่จุดหมายต่อไปของเรานะครับ พระราชวังอิมพีเรียล (IMPERIAL PALACE)

การเดินทาง
> Tokyo Metro Chiyoda Line(C)  สายสีเขียวเข้ม ไปลงที่สถานี Nijūbashimae Station(C10) Exit 6 เดินตรงไปอีกนิดเดียว

        สำหรับวันนี้ดูสถานที่ๆ จะไปต่อจากนี้คือหลายที่ต้องเดินทางโดย Tokyo Metro เราจึงซื้อบัตร 1 day pass เพิ่ม ราคา 710 เยน ซื้อแบบนี้น่าจะคุ้มกว่า พอมาถึง โผล่ออกมาจากสถานี รู้สึก ว้าว อากาศดี ดูชิวๆ ดีจัง วันนี้เป็นวันที่ฟ้าใส และแดดเปรี้ยงมาก แต่ก็ไม่ได้ร้อนนะ ลมเย็นมาก อากาศกำลังเดินเที่ยวพอดี

    ที่ พระราชวังอิมพีเรียล นี้ พื้นที่โดยรอบก็ค่อนข้างกว้างนะครับ เราก็พยายามเดินหา สะพานนิจุบาชิ (สะพานแว่นตา) ที่คนมาที่นี่ต้องไปแวะถ่ายรูป เดินหาซักพักก็เลยถามคนแถวนั้นว่าอยู่ตรงไหน เค้าก็บอกเดินไปอีกนิดเดียว ก็คือพวกผมก็เดินมาถูกทางแล้วละ ตามๆ คนที่เค้าเดิน



    สำหรับสะพานแว่นตาเห็นว่าจะต้องมาช่วงประมาณ 9 โมงเช้านะ ถึงจะเห็นเป็นแสงแดดกระทบแล้วถึงจะเห็นเป็นรูปแว่นตา แต่พวกผมไปถึงก็เกือบๆ เที่ยงละ ก็เลยไม่เห็นเป็นรูปแว่นตา เดินอยู่ที่นี่ซักพักก็เริ่มหิวละ เดี๋ยวไปที่ต่อไปกันดีกว่า และระหว่างเดินไปรถไฟฟ้า ก็เจอมุมถ่ายรูปก็เลยจัดซะหน่อย ฮ่าๆ



เริ่มหิวแล้ว ก็เลยตกลงกันว่างั้นเดี๋ยวไปหาอะไรกินที่ตลาดปลา Tsukiji แล้วกัน เพราะยังไงก็จะไปอยู่แล้ว

การเดินทาง
> Tokyo Metro Hibiya Line(H)  ไปลงที่สถานี Tsukiji (H10) Exit 1 จากนั้นเลี้ยงซ้าย เดินไปอีกนิดเดียวจะผ่านโบสถ์ใหญ่ๆ แล้วก็จะเจอแยก ข้ามถนนไปก็เป็น Tsukiji Market ครับ

    มาตลาดปลาช่วงบ่ายๆ ร้านอาหารแต่ละร้านนี่คนแต่คิวกันจนล้นออกมาหน้าร้าน ที่นี่เค้ายืนต่อคิวกันจริงจังมาก เห็นได้ทั่วไป ผมนี่ถ้าแถวยาวมาก ผมเปลี่ยนร้านเลย เดินสำรวจไป เดินสำรวจมา ก็มาเจอร้านหนึงดูเมนูที่อยู่หน้าร้านดูน่ากินดี แถวคิวก็ไม่ยาวมากไป พอรอได้ ฮ่าๆ



    เมื่อเลือกร้านแล้วก็ ยินรอคิวครับ ซักพักหนึงก็ได้ไปนั่ง เราถ่ายรูปเมนูที่จะกินเอาไว้ในมือถือตั้งแต่หน้าร้านแล้วครับ แต่พอเข้าไปนั่งก็ขอเมนูเค้ามาดูก่อน แต่ไหงข้าวหน้าปลาดิบที่จะกิน ในเมนูที่เค้าเอามาให้มันมี แต่ราคา 3000 เยน อัพ ทั้งนั้นเลยหว่า ก็เลยเปิดมือถือเอารูปที่ถ่ายจากหน้าร้านให้เค้าดูว่าจะเอาอันนี้ มัน 1,542 เยนเองนะ ฮ่าๆและเราก็ได้กิน ตามรูปเลย อยากจะบอกว่าอร่อยมาก ปกติผมไม่ค่อยชอบกินของดิบเลย แต่เนื้อปลาที่นี่หวาน สด สุดๆ ครับ ใครมาต้องลองนะ ตรงตลาดปลานี่แหละสดสุดๆ ละผมว่า สรุปกินหมดเกลี้ยงชาม ประทับใจมากมื้อนี้ (จะบอกว่ามื้อนี้เป็นมื้อที่แพงสุดที่ซื้อกินเองละ แต่บอกเลยว่าอร่อย คุ้มค่ามากๆ )

    ใครจะมาหาซื้อของฝากพวกขนม สาหร่าย อะไรพวกนี้ที่ตลาดปลาก็มีขายเยอะเลยนะ มาลองเลือกกันดูได้ แต่ผมมานี่ไม่ได้ซื้ออะไรเลย ขี้เกียจแบก เพราะเดี๋ยวต้องไปเที่ยวกันต่อ อิ่มท้องกันแล้ว เดินตลาดปลาเสร็จก็ประมาณบ่ายสามแล้วมั้ง ปะๆ ไปต่อ


สถานที่ต่อไป คือตั้งใจจะไปถ่ายรูป เทพีเสรีภาพจำลอง และสะพาน Rainbow ที่ Odaiba ครับ ไปกันเลย

การเดินทางมายัง Odaiba

           นั่งรถไฟมาลงที่ JR Shimbashi (มีหลายสายมา Yamanote Line , Keihin Tohoku , Tokaido Main, Yokosuka Line) แล้วเดินออกไปที่สถานี Shimbashi ของรถไฟ Yurikamome (รถไฟสาย Yurikamome วิ่งทั่ว Odaiba เป็นรถไฟของเอกชนไม่สามารถใช้ JR Pass ได้ สามารถซื้อตั๋วเป็นเที่ยวๆ หรือชำระผ่านบัตร Suica หรือ Passmo ได้ นอกจากนั้นยังมี One day pass ของ รถไฟสาย Yurikamome จะขึ้น-ลงกี่เที่ยวก็ได้ใน 1 วัน ราคา 800 เยน)



    สำหรับผมมาที่ Odaiba คือตั้งใจจะไปถ่ายรูป เทพีเสรีภาพจำลอง และสะพาน Rainbow เท่านั้นครับ ดังนั้นเราก็นั่งรถไฟ Yurikamome  มาลงที่ สถานี Odaiba-kaihinkoen (U-06)ได้เลย สำหรับ สถานี นี้มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง เช่นสะพานสายรุ้ง (Rainbow Bridge), Odaiba Seaside Park, อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพจำลอง (Statue of Liberty), ห้าง Decks Tokyo beach, ห้าง Aqua City Odaiba ชายหาด Odaiba และยังสามารถเดินทะลุไปยังห้าง Diver City(ห้างที่มีหุ่นกันดัมยักษ์), Palette Town และ ห้าง Venus Fort ได้ #ขอบคุณข้อมูลจากเว็บครับ



    พอลงรถไฟฟ้ามา ก็เดินเรียบชายหาดไปเลยครับ เดี๋ยวมองเห็น เทพีเสรีภาพจำลองเอง หาไม่ยากครับ มาถึงก็ประมาณสี่โมงเย็นครับ ที่นี่คือ กำลังจะมืดแล้ว มืดเร็วมาก ผมนี่รีบเดินเลยไป เทพีเสรีภาพจำลอง เลย กลัวแสงหมด อากาศช่วงนี้ก็หนาวได้ใจครับ ลมมาทีนี่หนาวสุดๆ พอถึงก็เก็บภาพซักพัก จนพอใจ จากนั้นก็กลับไปสถานีรถฟ้าเพื่อเตรียมเดินทางไปที่ต่อไป



ไปเที่ยวกันต่อครับ ที่ต่อไปนี่คือตั้งใจจะขึ้นไปถ่ายรูป Tokyo Tower ครับ ที่ตึก Mori Tower ที่ Roppongi Hills

การเดินทาง
1. Tokyo Metro Hibiya(H) Lineลงสถานี Roppongi(H04) Exit 1C
2. Tokyo Toei Oedo(E) Line ลงสถานี Roppongi (E23) Exit 3 อันนี้ใช้บัตร  Tokyo Metro 1 day pass ไม่ได้นะครับ

        สำหรับตึก Mori Tower เป็นจุดที่สามารถขึ้นไปชมวิวโตเกียว 360 องศาที่ชื่อว่า โตเกียวซิตี้วิว (Tokyo City View) อยู่บนชั้นดาดฟ้า ชั้นที่ 54 ของตึกและยังมีในส่วนของพิพิธภัณฑ์ศิลปะโมริ (Mori Art Museum) ที่ตั้งอยู่ที่ชั้น 53 บัตรราคา 1,500 เยน แต่ถ้าอยากขึ้นไปชมวิวแบบ 360 ไม่มีกระจกกั้นจะต้องเสียเพิ่มอีก 500  เยน สำหรับขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้า Sky Deck  รายละเอียดเพิ่มเติมดูในลิงค์นะครับ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

    ไปถึงที่นี่ประมาณ ทุ่มหนึงครับ จัดการซื้อตั๋ว และก็ขึ้นไปข้างบนเลยรอคิวแป๊ปเดียวครับ  ขึ้นไปถึงผมก็เข้าโหมดถ่ายรูปครับ นั่งหามุมถ่ายคนเดียวไปเรื่อย ตอนแรกผมถ่ายอยู่ ตรงชั้นที่มีกระจกกั้น แต่รู้สึกว่ามีปัญหาเรื่องแสงสะท้อนของกระจก ก็เลยยอมเสียเงินอีก 500 เยน ขึ้นไปถ่ายรูป บนชั้นดาดฟ้า Sky Deck แบบไม่มีกระจกกั้น แต่คือ จนท ไม่ให้เอาขาตั้งกล้องขึ้นไป ผมนี่แทบช๊อค อุส่าห์แบกมาทั้งวัน ของต่างๆ พวกเป้อะไร ก็ให้ฝาก Locker ไว้



        รูปแรกนี้ถ่ายจากชั้นที่มีกระจกกั้นครับ



        ส่วนรูปที่ 2 ถ่ายบนชั้นดาดฟ้า Sky Deck แบบไม่มีกระจกกั้น แต่ขาตั้งกล้องดันเอาขึ้นมาไม่ได้ซะนี่ ก็เลยใช้รั้วกั้นแถวนั้นให้เป็นประโยชน์ ระหว่างถ่ายอยู่ก็รู้สึกอยากใช้เลนส์อีกตัว แต่ดันอยู่ในเป้ข้างล่างที่ฝาก Locker ไว้ ก็เลยให้เพื่อนลงไปเอาแต่ดันขึ้นมาใหม่ไม่ได้แล้วครับ เพราะใกล้เวลาปิด ผมก็ งงๆ นิดหนึงคืออ่านรีวิวก่อนมาบอกบนนี้ปิด 22.00 น. แต่มาถึงนี่จริงๆ ปิด 20.30 น. สรุปคือ อุส่าห์เสียเงินเพิ่ม แต่บนนี้รู้สึกว่ายังถ่ายได้ไม่คุ้ม เพราะขึ้นมาถ่ายได้แป๊ปเดียวก็มี จนท มาบอกให้ลงเพราะได้เวลาปิดแล้ว อากาศบนนี้หนาวมากนะครับ ใครจะขึ้นมาถ่ายรูปช่วงหน้าหนาวบนนี้เตรียมชุดให้พร้อมครับ


และไปต่อกันที่สุดท้าย ของวันที่ 2 ครับ ขอไปเดินเอาบรรยากาศเมือง ดูผู้คนหน่อย ก็เลยไปที่ ย่านชิบูย่า ครับ

การเดินทาง 
ก็มาได้หลายทางครับ ผมก็เลือกนั่งใต้ดิน แล้วก็มาต่อ JR Yamanote line ลงที่ สถานที Shibuya เลยครับ แต่จำไม่ได้แล้วครับว่าออกประตูไหน แต่ออกมาก็มาเจอภาพตามรูปเลยครับ กับ 5 แยก ชิบูย่า

ออกมาจากสถานีรถไฟฟ้า ผมนี่ถึงกับทึ่งกับจำนวนผู้คนที่เยอะมากกก คือเค้ามาจากไหน จะไปไหนกัน มาทำอะไรตรงนี้กันเยอะแยะ ตอนนั้นเกิดคำถาม ฮ่าๆ มันเยอะมากจริงๆ





ข้าวมื้อค่ำ : [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
         จบท้ายด้วยมื้อค่ำง่ายๆ แบบทำเวลา ที่ร้าน Yoshinoya ร้านนี้มีสาขาเยอะนะครับ เห็นได้ทั่วไป ผมสั่งมาเป็นข้าวหน้าเนื้อครับ ราคา 700 เยน เห็นเหมือนถ้วยไม่ใหญ่มาก แต่ข้าวค่อนข้างแน่นครับ ผมกินไม่หมด กินเสร็จก็ประมาณ 5 ทุ่มละ รีบกลับที่พักดีกว่า
ถึงที่พักก็เกือบเที่ยงคืนเลยครับ วันนี้ต้องบอกเลยว่าเดินกันจนขาลาก หลังจากที่เมื่อวานนี้ชิวเกิน กลับห้องนอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม 555 ถึงเวลาพักผ่อนครับ คืนนี้ พรุ่งนี้เราจะต้องเดินทางไป Mt.Fuji ตรงทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko)



วันที่ 3   24/11/2014

        มาถึงวันที่ 3 กันแล้ว จริงๆ ตอนแรกตามแผนว่าจะไป ที่ ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko) แต่เช้าเลย แต่รู้สึกว่ายังมีอีก 2 ที่ๆ เราอยากไปเดิน นั่นคือ Ueno park และ ตลาดอะเมะโยโกะ (Ameyoko) มากันเองแผนมันก็เปลี่ยนได้ตามความสะดวกของเรานะครับ เช้านี้เรา Check out ออกจากที่พักกันประมาณ 7 โมงครับ แต่ฝากกระเป๋าไว้ที่พักก่อน เดี๋ยวกลับมาเอาอีกที ตอนจะไปทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko)

    มาเริ่มที่แรกกันเลยครับ Ueno park

วิธีเดินทาง : 
>วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟ JR Line สายวงกลม Yamanote Line (สีเขียว), สาย Keihin-Tohoku Line (สายสีฟ้า) ลงสถานี Ueno  ออกทาง Park Gate (เข้าสู่กลางสวนสาธารณะ)
>วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย G-Ginza Line (สีส้ม), H-Hibiya Line (สีเทา) ลงสถานี G16/H17-Ueno ทางออก  6 (Exit 6)
    
         จากที่พักผมก็นั่ง JR กันมาได้เลย ครับใกล้ๆ แค่ 3 สถานี มาลง Ueno ได้เลย จากนั้นก็เดินไป สวน Ueno ได้เลย ตอนเช้าอากาศดีมาก ใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่ ก็สวยเหมือนกันนะครับ เดินชมบรรยากาศอยู่ที่นี่ซักพักครับ ก็เดินออกมา ขาออกมานี่เจอคนญี่ปุ่นกำลังต่อแถวซื้ออะไรซักอย่าง คือแถวยาวมากกก(รูปซ้ายล่าง) คือขดไปขดมา การเข้าคิวสำหรับคนที่นี่ ต้องยกนิ้วให้เลยครับ



         เสร็จจากสวน Ueno ก็ไปต่อกันที่ ตลาดอะเมะโยโกะ (Ameyoko) ครับ สามารถเดินไปได้เลยครับ สำหรับการเดินทางก็มาลงสถานี Ueno เหมือนกัน กับการมา Ueno park แหละครับ
          ก็พากันเดินข้ามสถานีรถไฟไป แล้วพอดีเจอเหมือนแผนที่นะครับ ที่แสดงว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหน ของพื้นที่ตรงนี้ แล้วตลาดตั้งอยู่ตรงไหน หาไม่ยากครับ หรือใครไปไม่เห็นแผนที่ก็ถามคนแถวนั้นเอาก็ได้ครับ รับรองรู้จักแน่ๆ ตามรูป ตลาดอะเมะโยโกะ คือฝั่งซ้ายนะครับ ฝั่งขวานี่จะเป็นอีกตลาดหนึง

   ตลาดอะเมะโยโกะ (Ameyoko)

          สำหรับตลาดอะเมะโยโกะ ก็ขายของหลากหลายครับ ทั้งเสื้อผ้า ของกิน ของฝาก โดยเฉพาะพวกขนมของฝากเนี่ยเยอะเลยครับ พ่อค้าแม่ค้า หลายคนก็พูดภาษาไทย เรียกลูกค้าเข้าร้านกันหลายร้าน แสดงว่าคนไทยมาเยอะมากแถวนี้ ใครจะซื้อพวกถั่ววาซาบิ คิดแคทชาเขียวและรสอื่นๆ หรือขนมที่ฮิตๆ ซื้อกลับไปฝากกันอะ มาที่นี่เลยครับ มีหมด ถูกๆ ทั้งนั้น มีแรงขนก็มาขนเอาเลยครับ แนะนำเลยที่นี่ ผมนี่อยากจะขนกลับเหลือเกินแต่กระเป๋ามันดันเต็มตั้งแต่ขามา ครั้งหน้ามาต้องเอาใบใหญ่ๆ มาเลย ฮ่าๆ



          เดินไปเดินมาก็พบว่า อาหารที่นี่ถูกมากครับ ราคาเริ่มต้นประมาณ 300 เยน นี่หลายร้านเลยครับ แล้วแต่เมนูนะ เราก็เลยแวะชิมซะหน่อยเห็นว่ามันถูกดี ฮ่าๆ ผมสั่งมาเป็นอะไรไม่รู้ ตามรูปเลยครับ ราคา 450 เยน อันนี้อร่อยใช้ได้ ผมกินเกลี้ยงเลย แต่อีกอันเหมือนของกินเล่น เป็นปาท่องโก๋ห่อแป้งกะผักคล้ายๆ พิซซ่า ยังไงบอกไม่ถูกครับ ราคา 200 เยนมั้ง คือ ผมกัดคำเดียว วางเลย ไม่ค่อยโอเคเท่าไร ฮ่าๆ
ขากลับผมเดินอีกซอย ที่มันจะเป็นซอยขนานกับซอยตลาดอะเมะโยโกะ(ไม่ใช่ซอยตลาดที่อยู่ฝั่งขวาในรูปนะ) เป็นซอยเสื้อผ้าล้วนๆ เลยครับ มีร้านเสื้อผ้าตลอดทางเลย แจ็คเก็ต เสื้อกันหนาว สวยๆ เต็มเลย จะเป็นของผู้ชายซะส่วนใหญ่ครับ ใครจะมาลองหาซื้อเสื้อผ้า ที่นี่ก็แนะนำเลยครับ ราคาก็หลากหลายนะ ไม่แพงครับ


เสร็จจากตลาดอะเมะโยโกะ แล้ว ก็พอดีว่าผมนัดเจอพี่ชายที่ วัดเซนโซจิ อาซากุซะ คือพี่ชายก็มาเที่ยวญี่ปุ่นเหมือนกันครับ ก็ไปเดินเที่ยวด้วยกันแป๊ปหนึง และระหว่างที่เพื่อนผมแยกไปเดินหาซื้อของฝากเพิ่ม ผมก็เลยขึ้นไปถ่ายรูปที่ตึกที่เป็นไม้ๆ อยู่ตรงขามทางเข้าหน้าวัดเซนโซจิเลยครับ คือเป็นเหมือนตึกไว้คอยบริการนั่งท่องเที่ยวนะครับ ด้านล่างจะเป็น Information สามารถไปขอแผนที่หรือถามเรื่องท่องเที่ยวได้ มี จนท คอยให้บริการอยูครับ



    ส่วนผมก็ตั้งใจจะขึ้นไปถ่ายรูปวัดเซนโซจิจากมุมบน ก็กดลิฟท์ ขึ้นไปชั้น 8 เลยครับ (ขึ้นฟรี) โดยชั้น 8 ก็จะมีส่วนนั่งดูวิวได้ และก็จะมีร้านกาแฟตรงนั้นด้วย ใครมีเวลานั่งกินกาแฟ แล้วดูวิวจากบนนั้นผมว่ามันก็ชิวๆ ดีนะครับ จากรูปก็จะเห็นตั้งแต่ประตูชั้นแรกของวัดเซนโซจิที่มีโคมแดงใหญ่ ยาวไปจนถึงตัววัดเลยครับ อ้อ วันนี้ฟ้าครึ้มๆ มีฝนปรอยๆ มาบ้าง บางช่วงครับ วันนี้ไม่มีแดด ทำให้อากาศหนาวมากๆครับ



เสร็จจากนี่ผมยังไป Tokyo Sky tree ต่ออีก คือไปอีกรอบ ฮ่าๆ พอดีไปหาซื้อของ ตรงนี้ขอข้ามไปเลยนะครับ



ได้เวลาเดินทางไป ทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko) Mt.Fuji

    หลังจากเดินเที่ยวเสร็จก็พากันกลับที่พักไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ครับ แล้วก็ออกเดินทางไปทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko)

สรุปการเดินทางไว้แบบนี้ครับ

1.มาเริ่มต้นขึ้นรถไฟด่วนที่ สถานี Shinjuku 
        ไม่ว่าคุณจะอยู่ใหนให้เดินทางมาขึ้นรถไฟด่วนที่นี่ สถานี Shinjuku เป็นสถานีใหญ่มาก มีรถไฟหลายสายมาทั้ง JR และ Metro อย่างผมนี่ก็นั่ง JR Yamanote Line มาเลย หรือที่คนเรียกรถไฟสายวงกลม ครับ

2.เดินทางจาก สถานี Shinjuku ไป สถานี Otsuki ด้วยรถไฟ LTD. EXP KAIJI ใช้เวลาประมาณ 61 นาที 
        สามารถเช็ครอบจาก Hyperdia หรือถามนายท่าได้ อันนี้คือรถไฟด่วนนั่งตรงยาวไปเลย ขึ้นที่ชานชะลา ที่ 9 หรือ 10 เช็คหน้างานอีกทีนะแต่ 2 อันนี้แหละ ตอนมาที่สถานี Shinjuku อย่างที่บอกมันใหญ่มาก แต่ไม่ต้อง งง ให้เดินตาม หมายเลย ชานชะลา ที่ 9 หรือ 10 ได้เลย รถไฟ LTD. EXP KAIJI  สามารถจองที่นั่งไปก่อนได้ที่ Office ของ JR ได้ แต่ถ้าไม่จองที่นั่งก็ให้ไปรอขึ้นที่ CAR No.3-6 นะครับ CAR คือ ตู้ที่ 3-6 อันนี้จะสำหรับคนที่ไม่ได้จองที่นั่งมา คนจะค่อนข้างแน่นครับ ถ้ามีเวลาเดินไปหา Office ของ JR ภายในสถานี Shinjuku เพื่อจองที่นั่งก่อนนะครับ ถาม จนท แถวนั้นก็ได้ว่าอยู่ตรงไหน บนรถไฟมี จนท เข็นรถมาขายพวกของกิน และจะมีจนท มาเดินตรวจตั๋ว  (***ใช้  JR Pass หรือ JR Kanto pass ได้เลย) อันนี้ระวังนิดหนึงนะครับหลายสายมันใช้ชานชะลาเดียวกัน สังเกตขบวนรถไฟด้วยนะครับ มีป้ายไฟบอกอยู่ครับว่าขบวนอะไร

3.เดินทางจาก สถานี Otsuki ไป สถานี KAWAGUCHIKO(สุดสาย) ด้วยรถไฟ Fujikyu Railway
    อันนี้เป็นรถไฟที่เป็นลายฟูจิอะครับ ก็นั่งไปสุดสายเลย ใช้เวลาประมาณ 45-61 นาที แล้วแต่ว่าได้ขึ้นขบวนไหนนะ บนรถไฟจะมีจนท มาเดินตรวจตั๋วด้วย  (***ใช้ได้เฉพาะ JR Kanto pass ส่วน JR Pass ต้องนี้ใช้ไม่ได้แล้วนะครับ ต้องจ่ายเพิ่ม)

4.ถึงที่หมาย ที่สถานี KAWAGUCHIKO ใครจะไปเที่ยวรอบทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko) ตรงนี้ก็จะมี Retro bus Kawaguchiko คอยบริการนะครับ เดินออกจากสถานีแล้วเลี้ยวขวา ไปขอแผนที่กับตารางเวลา ที่ Information Office ที่คอยบริการได้เลย

    ตอนผมมาถึง สถานี Shinjuku ก็เดินตามป้าย JR มาเลยครับ เป็นหมายเลข ชานชะลาที่ 9-10 แต่ตอนนั้นคือไม่ค่อยมั่นใจว่ามันใช่ตรงนี้รึป่าว ก็เลยไปถามนายท่า ที่อยู่ตรงนั้น ว่าจะไปสถานี Otsuki ต้องไปรอตรงไหน นายท่าก็หยิบตารางเวลามาให้ดูเลยว่ารถไฟมีอีกทีรอบ 16.30 น. นะ รอตรง Track No.10 ได้เลย และเพื่อความมั่นใจอีกครั้งก็เปิด Hyperdia เช็คอีกที โอเค ข้อมูลตรงกันกับที่นายท่าบอกเป๊ะ นี่เป็นการใช้ Hyperdia ครั้งแรกของทริปนี้เลยครับ ในการดูเส้นทาง เพราะปกติถ้าเที่ยวแค่ในโตเกียว ดูแค่แผนที่รถไฟฟ้าแค่นั้นก็เดินทางได้ ไม่ยาก เผื่อบางคนไม่มีเน็ตใช้นะ ดูแค่แผนที่ก็ได้ จะบอกว่า Hyperdia เอาไว้เช็คเที่ยวรถไฟและวางแผนเวลาออกนอกเมืองนี่มันโอเคมาก สะดวกสุดๆเลยครับ 



           พอรถไฟมา ผมก็ขึ้นไปตรง CAR No.10 เข้าไปก็เจอ จนท พอดี เค้าก็ขอดูตั๋ว ผมก็เลยยื่น JR Kanto pass ให้เค้าดู เค้าก็เลยบอกว่าคุณต้องไปที่ตู้  CAR No.3-6 นะ เพราะคุณไม่ได้จองที่นั่งมา ตรงตู้ที่สำหรับคนที่จองที่นั่งนั้นคนโล่งมาก ผมก็เลยต้องลากกระเป๋าตั้งแต่ ตู้ที่10 ผ่านแต่ละตู้ยาวไปจนถึงตู้ที่ 6 ก็เลยนั่งตู้นี้แหละนะ ตู้นี้คนค่อนข้างเยอะทีเดียวครับ แต่ก็พอมีที่นั่ง กระเป๋ามันใหญ่ เอาวางที่เก็บข้างบนไม่ได้ ก็เลย เอาวางไว้ตรงขาเลยครับ อึดอัดนิดหนึง แต่เหมือนระหว่างโบกี้มีที่วางกระเป๋าอยู่นะ แต่ผมไม่ได้เอาไปวาง ฮ่าๆ บนรถไฟมีห้องน้ำด้วย 



        พอถึงที่ สถานี Otsuki ก็มืดแล้ว มีป้ายบอกชัดเจนครับสำหรับไปต่อรถไฟ ไป สถานี KAWAGUCHIKO ก็ตามป้าย Fuji-Kyoko-Line ไปได้เลยครับ ไปถึงก็พบว่ารถไฟก็พึ่งมาถึงพอดีคนกำลังเดินออกมา ผมก็เห็นช่องหนึงมันว่างอยู่ ก็กำลังจะเดินเข้าไป จนท ก็เลยบอกว่า “ช๊อตโตะ” ก็เลยอ่อ ดีนะทีทำงานอยู่บริษัทญี่ปุ่น คำศัพท์พื้นฐานพวกนี้พอเข้าใจ 555 ก็ประมาณว่า รอก่อนนะ รอให้คนเดินออกมาหมดก่อน  พอคนหมดก็โชว์บัตร  JR Kanto pass เดินเข้าไปได้เลย เข้าไปนั่งได้แป๊ปเดียวรถไฟก็ออก ครับ
    ที่นั่งรถไฟค่อนข้างกว้างครับ สามารถวางกระเป๋าใบใหญ่ๆ ไว้ตรงขาได้ และนั่งได้อย่างสบายครับ สังเกตว่ารถไฟขบวนนี้ มีตู้กดน้ำบนรถไฟด้วย


มาถึง ไป สถานี KAWAGUCHIKO ประมาณ 18.40 น. ครับ ที่นี่รู้สึกอากาศหนาวมากครับ มาถึงก็เดินไปเช็คเวลารถ Retro bus ปรากฏว่า รถบัสรอบสุดท้ายมันเวลา 18.30 น. มาช้าไปนิดเดียว มันเป็นไร ไป Taxi ก็ได้ เพราะที่พักเราอยู่ไม่ไกล ก็เลยเรียก Taxi ให้ไปส่งที่พักเลยครับ ก็รู้สึกว่าสะดวกดีครับ Taxi ที่นี่จะเริ่มต้นที่ 750 เยน นะครับ จาก สถานี KAWAGUCHIKO ไปส่งถึงที่พัก คือเลขมิเตอร์ไม่กระดิกเลยครับ สรุปจ่ายค่า Taxi ไป 750 เยน ครับ / 2 ก็ตกคนละ 325 เยน ก็โอเคดีนะครับมีกระเป๋าใบใหญ่ก็สะดวกดี

**************

มาดูที่พักกันบ้างครับ ที่นี่เราเลือกพักที่ Resort Inn Fujihashi

การเดินทาง
โรงแรมตั้งอยู่ใกล้กับ Bus stop No.4(Ogi) จากสถานี Kawaguchiko Retro bus เบอร์ 4 คือลงรถบัส ก็จะมองเห็นที่พักเลยครับ

    ที่เลือกพักที่นี่เพราะว่าเป็นห้องพักสไตล์ญี่ปุ่นแบบเรียวกัง มีชุดแบบญี่ปุ่นให้ใส่ด้วย เดินทางสะดวก ราคาไม่แพง และรวมอาหารเช้าด้วย มี Free Wi-fi ทุกห้อง อันนี้คือข้อมูลก่อนมาที่ทำให้ตัดสินใจจองนะครับ
    มาถึงที่พักประมาณ ทุ่มหนึงครับ เปิดประตูเข้าไป เจอเจ้าของที่พัก ผมก็นี่เลย สวัสดีเป็นภาษาญี่ปุ่น “คอนนิจิวะ” เจ้าของยิ้ม เหมือนขำนิดๆ พอมานึกอีกที สวัสดีตอนเย็นนี่มัน “คอนบังวะ” นี่หว่า นี่ตรูปล่อยไก่ไปเหรอเนี่ย 555 ขำตัวเอง 



    พอเจอเจ้าของที่พักนะ เค้าก็เหมือนดีใจมากที่พวกผมมาถึง สงสัยอาจจะคิดว่าพวกผมไม่มาแล้วมั้งครับ เพราะมาถึงก็ทุ่มหนึงละ มาถึงก็ถามนะว่า Welcome Drink อยากกินอะไร ชาหรือกาแฟดี ก็คงจะต้องเป็นชาละนะ กินกาแฟตอนนี้คงไม่ต้องนอนกันพอดี แล้วเค้าก็ถามว่าเราจะกินอาหารเช้ากี่โมงดี ก็เลือกเป็น 7 โมงเช้าเลยครับพรุ่งนี้จะออกเที่ยวแต่เช้า เค้าก็พาไปที่ห้องพักพร้อมยก Welcome Drink และยังมาแย่งผมถือกระเป๋าอีก ผมก็บอกว่าไม่ต้องๆ คือกระเป๋ามันหนัก แต่เค้าก็เอาไปถือจนได้ คือเค้าเป็นกันเองและดูแลดีมากครับ

    เข้ามาห้องพักก็ปูที่นอน เปิดฮีทเตอร์ไว้ให้พร้อมครับ เข้าไปนี่อุ่นเลย จากนั้นก็เก็บกระเป๋าและจะออกไปหาของกินครับ มี 7-11 และ Family mart ใกล้ๆ ครับ มีร้านอาหารด้วยนะครับ แต่ก็เลือกหาพวกข้าวที่ Family mart กลับไปกินที่ห้องครับ + กับมาม่าปลากระป๋อง ที่ยังเหลือ รีบๆ กินให้หมด ขี้เกียจแบกแล้ว ฮ่าๆ ครั้งหน้าบอกตัวเองว่าไม่ต้องแล้วนะ มาม่าปลากระป๋อง เนี่ย ข้าวกล่องใน Family mart มีให้เลือกเยอะมาก และไม่ได้แพงเลย

    กินข้าวเสร็จ เพื่อนก็ออกไปอาบน้ำ ผมก็นั่งจัดกระเป๋าใหม่อยู่  อีก 2 นาทีเพื่อนเปิดประตูห้องมา บอกให้ไปยืนเฝ้าหน้าประตูให้หน่อย มันเป็นห้องอาบน้ำรวม ผมก็ อ้าว มันก็ห้องน้ำรวมนะ เพื่อนก็ อันนี้มันเป็นรวมชายหญิงเลยวะ เหมือนที่อาบน้ำตอนเข้าค่ายลูกเสื้อ ตอนนั้นผมก็นึกขึ้นได้ ตอนหาข้อมูลที่พักเหมือนเคยอ่านเจอรีวิวว่า มีคนหนึงเค้าตื่นไปอาบน้ำตั้งแต่ตี 4 เพราะเรื่องนี้นี่เอง ฮ่าๆ อธิบายให้เห็นภาพนิดนึง ห้องอาบน้ำมันจะเป็นห้องรวม ไม่มีแบ่งชายหญิง พูดง่ายๆ คือใช้ร่วมกันนั่นเอง เปิดประตูเข้าไปจะเป็นห้องกว้างๆ มีฝักบัวอยู่ 4 - 5 อัน ติดๆ กัน และไม่มีอะไรกั้นในห้องนั้น สรุปก็คือผมกับเพื่อนก็ผลัดกันเฝ้าประตูไว้ 555 ดีที่คืนนั้นเป็นคืนวันจันทร์ นักท้องเที่ยวชั้นผมมีพักแค่ 3 ห้อง


วันที่ 4    25/11/2014
ตัดมาเช้าวันที่ 4 กันเลยครับ
    
      เช้านี้ตื่นไปอาบน้ำตั้งแต่ ตีห้าครึ่งครับ ไม่ต้องใช้คนเฝ้าหน้าห้อง เพราะคงไม่มีใครตื่นเช้าเท่าผมแล้ว(มั้ง) 555ลงมากินข้าวเช้า ตรงเวลาที่นัดไว้คือ 7 โมงเช้า อาหารเช้าที่นี่อร่อยมากครับ เป็นเซ็ตที่ทางที่พักจัดให้ อิ่มกำลังพอดีครับ ไม่มากไม่น้อยเกินไป แซลมอนย่างเกลือ อร่อยมากกกก กินข้าวเสร็จเจ้าของที่พักเค้าก็ถามว่าพวกผมจะไปสถานี Kawaguchiko ไหม เค้าจะออกไปส่ง พวกผมก็ไปครับ เอากระเป๋าไปด้วยเลย ที่สถานี Kawaguchiko มี Locker ฝากกระเป๋า จะได้ไม่ต้องกลับมาที่พักอีก

สรุปเรื่องที่พักนะครับ 
      ความคิดเห็นส่วนตัว เจ้าห้องที่พักโอเคเป็นกันเอง ห้องโอเค เดินทางสะดวก หาของกินง่าย แต่ติดตรงห้องอาบน้ำนิดหนึงที่เป็นห้องอาบน้ำรวม ชายหญิง แล้วก็ไม่ค่อยอยากแนะนำสำหรับผู้หญิงที่มาพักคนเดียวนะครับ เพราะรู้สึกว่าบรรยากาศมันเงียบๆ นิดหนึงคือไปเจอช่วงแขกเข้าพักไม่เยอะ อีกอย่างมันห้องอาบน้ำรวมด้วยไม่ค่อยเหมาะกับผู้หญิงนะครับ

*************************
นั่ง Retro bus รอบ Kawaguchiko 

          พอลุงเจ้าของที่พัก ขับรถมาส่งที่ สถานี Kawaguchiko ก็จัดการเอากระเป๋าไปฝากใว้ใน Locker แล้วก็ไปเอาตารางเวลาและแผนที่เส้นทางของ Retro bus ที่วิ่งรอบ สถานี Kawaguchiko ไปเอาที่ Information ที่อยู่หน้าสถานีนะครับ และก็มาขึ้นรถบัสหน้าสถานีได้เลย พวกผมขี้เกียจหยอดเหรียญจ่ายค่าโดยสารเป็นรอบๆ ก็เลยบอกคนขับว่าขอซื้อเป็นบัตร 1 day pass เลย เราดูมามันราคา 1000 เยน แต่ลุงคนขับบอก 1200 เยน ไอ้เราก็สงสัยราคามันขึ้นแล้วมั้ง พอได้มาแล้วไปนั่งที่เก้าอี้อ่านดู อ้าว นี่มันบัตร 2 day pass นี่หว่า 555 ไม่เป็นไร เดี๋ยวเที่ยวเสร็จเอาให้คนอื่นต่อ



           และก็ขึ้นรถบัสเที่ยวเลยครับ วันนี้โชคร้ายนิดหนึงครับ ฝนตกๆ หยุดๆ ฟ้าปิด มองไม่เห็นฟูจิซังเลย ก่อนมาก็ดูพยากรณ์อากาศอยู่ครับ ว่า สองวันนี้มีฝน แต่คือจองที่พักไว้แล้ว ก็เลยต้องมา จริงๆ ผมว่าเดินทางมาเที่ยววันเดียวก็ได้ครับแบบไปเช้าเย็นกลับ ถ้าเช็คพยากรณ์อากาศว่าฟ้าใส ก็เตรียมเดินทางมาได้เลยครับ 
สำหรับการนั่ง Retro bus เที่ยว ผมแวะลงแค่ 2 จุดครับคือ จุดสุดทายเลยหมายเลข 21 แล้วก็ตรง Music Forest  อยู่ที่ละแป๊ปเดียว ก็รอรถกลับดีกว่าครับ วันนี้อากาศไม่ดีเอามากๆ แม้แต่ฟูจิซังก็ยังมองไม่เห็นเลย และอากาศก็หนาวมาก ควันออกปากเลยครับ หนาวจริงๆ ครั้งนี้ค่อนข้างมาเสียเที่ยวแต่ไม่เป็นไร ครั้งหน้ามีโอกาส ต้องมาเก็บรูปฟูจิซังให้ได้

ดูเส้นทางของ Retro bus ตามลิงค์นี้ได้เลยครับ จะมีจุดจอดหลายจุดครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


        และในเมื่ออากาศไม่ค่อยเป็นใจเราจึงตัดสินใจกลับ โตเกียวดีกว่าครับ เดี๋ยวไปเดินเล่นทีชินจุกุดีกว่า เจอพี่ๆ คนไทยที่อยู่ที่ สถานี Kawaguchiko  ก็เลยเอาบัตร Retro bus 2 day pass ให้พี่เค้าไปเลยครับ มันใช้ได้อีกวัน พี่เค้าพึ่งมาถึง ขากลับก็เหมือนเดิมครับ นั่งรถไฟ Fujikyu Railway  จาก สถานี Kawaguchiko ไปลงสถานี Otsuki และไปที่ชานชะลาที่ 5 Track No.5 เพื่อรอรถไฟด่วนเหมือนขามา  ไปลงที่สถานี Shinjuku





                ถึงสถานี Shinjuku ประมาณบ่าย 2 ครับ สถานีใหญ่และคนเยอะมาก พวกผมก็จัดการเอากระเป๋าฝากไว้ที่ Locker ครับ Locker มีเยอะเลยนะครับหลายจุด ทุกสถานีเลยครับ พวกผมก็ฝากตู้ใหญ่สุดเลย ค่าฝาก 600 เยน ฝากได้ 24 ชั่วโมงครับ อันนี้ผมไม่แน่ใจนะครับว่านับตั้งแต่ 24.00 – 24.00 ของอีกวันหรือนับ ตั้งแต่เวลาเริ่มฝาก ใครรู้ช่วยบอกทีนะครับ ผมก็ไม่ได้ดูมาละเอียดเพราะผมฝากไม่กี่ชั่วโมง
ที่ต้องฝากกระเป๋าไว้เพราะเดี๋ยวเราจะต้องกลับมาที่สถานีนี้เพื่อขึ้นรถไฟ N’EX ไปสนามบินนาริตะ ครับ เพราะว่าคืนนี้เราต้องบินไปโอซาก้า ครับ ฝากกระเป๋า ก็ได้เวลาเดินเที่ยวและหาของกิน ที่ย่านชินจุกุแล้วครับ มีเวลาเดินเที่ยวประมาณ 3 ชั่วโมง ก่อนจะออกเดินทางไปสนามบิน ออกมาก็พบว่า ฝนที่นี่ก็ตกเหมือนกันครับ ตกปรอยๆ ตกบ้างหยุดบ้าง บรรยากาศบ่าย 2 นี่เหมือน 5 โมงเย็นเลยครับ เรื่องอากาศนี่ไม่ต้องพูดถึง หนาวเลยละครับ 

               เดินหาของกินก่อนเลยอันดับแรก ร้านแถวนี้เยอะเลยนะครับ จากรูปคือผมสั่งเป็นชุดมา ราคา 1000 เยน มันเรียกว่าอะไรนี่ผมไม่ทราบเลยครับ เมนูภาษาญี่ปุ่นล้วน แต่ทุกเมนูมีภาพครับ ก็จะง่ายหน่อยเวลาสั่ง ไอ้ที่ผัดๆ กินกับข้าวอร่อยดีครับ แต่ราเมง นั่นไม่ค่อยโดนเท่าไร ราเมงนี่กินไม่หมดเลยครับ เพราะอิ่มตั้งแต่กินผัดกะข้าวแล้ว ไม่น่าสั่งเยอะเลย ฮ่าๆ อ้อ ร้านญี่ปุ่นเค้าจะมีตะกร้าใส่ร่มอยู่ตรงประตูทางเข้านะครับ ผมก็ไม่ได้สังเกตตอนเข้ามา มาสังเกตอีกทีตอนมานั่งที่โต๊ะแล้ว เห็นคนที่เค้ามาใหม่วางกันหมด แต่ผมนี่ถือมาวางไว้ที่ใต้โต๊ะเลย แอบกลัวเค้าว่าอยู่นะ ฮ่าๆ



กินเสร็จก็เดินเที่ยวแถวนั้น และเข้าไปเดินในห้าง(จำชื่อไม่ได้ครับ) ที่มีทางเชื่อมไปสถานี Shinjuku ได้เลย ก็ลงไปเดินชั้นใต้ดิน ก็ได้พบกับร้านขายขนมมากมาย แต่ก็ไม่ได้ซื้อเลยครับ ขี้เกียจถือ ได้แต่เดินสำรวจ แล้วก็ได้พบกับขนมทุกอย่างที่นายญี่ปุ่นหรือแขกญี่ปุ่นชอบซื้อมาฝากเวลามาเมืองไทย ฮ่าๆ คือชอบแพ็คเกจขนมที่ญี่ปุ่นมากเค้าทำดีมากครับ เดินจนไม่รู้จะไปไหนละ เดินทางไปสนามบินดีกว่าครับ



    กลับมาที่สถานี Shinjuku มาเอากระเป๋าที่ ฝากไว้ที่ Locker แล้วก็ลากกระเป๋าไปเพื่อที่จะไปขึ้นรถไฟ N’EX หรือNarita Express ครับ ป้ายในสถานีจะเขียนว่า Narita Express เห็นง่ายชัดเจน มีป้ายบอกตลอดครับ เราตั้งใจจะไปขึ้นรอบ 16.10 น. เช็คเวลากับ Hyperdia มาเรียบร้อย พอไปถึงที่ชานชะลาที่ 6 ก็เห็นรถไฟจอดอยู่ละ แต่เดินไปดูตามตู้ ทำไมมันเขียนว่าตู้สำหรับคนที่จองที่นั่งหมดเลย คือที่เคยเจออย่างรถไฟที่นั่งไปฟูจิ ในขบวนนั้นมันจะมีทั้งตู้ที่จองที่นั่งและไม่จองที่นั่ง แต่ N’EX ไม่ใช่แบบนั้น ทั้งขบวนต้องจองที่นั่ง พอดีมี จนท เดินมาก็เลย ถามเค้าและเอา JR Kanto pass ให้เค้าดู เค้าก็บอกว่าต้องขึ้นไปจองที่นั่งก่อนที่ Office ของ JR 

    สรุปก็คือไม่ทัน รอบ 16.10 น. ต้องลากกระเป๋าขึ้นไป Office JR (เหมือนในรูป)ที่อยู่ด้านบนเพื่อจองที่นั่งครับ  ใครใช้ JR Kanto pass หรือ JR Pass ก็จองที่นั่งได้ฟรีเลย แล้ว จนท ก็ออกเป็นตั๋วมาให้ พร้อมระบุเวลา ระบุตู้ และที่นั่งเรียบร้อยในตั๋วครับ และเราก็ได้ไปรอบ 17.09 น. ครับ ตอนนั้นคิดเลยว่า ดีนะมีเวลาเหลือเยอะ ถ้ามัวแต่เดินเที่ยวแล้วไม่เผื่อเวลา ใกล้ๆ เวลาค่อยมานี่ แล้วมาเจอเหตุการณ์นี้ ตกเครื่องไปโอซาก้าแน่ๆ ซื้อใหม่นี่หลายพันเลย ตายแน่

*** วันนี้เราใช้ JR Kanto pass ขึ้นรถไฟตั้งแต่ สถานี Kawaguchiko Mt.Fuji ยาวมาไปจนถึงสนามบิน Narita ได้เลยครับ แค่ใช้ไปกลับ แค่นี้ก็คุ้มกับค่าบัตรแล้วครับ


นั่งมาลงที่ สนามบิน นาริตะ Terminal 1 นะครับ เพราะเราจองตั๋วโปร Peach Airline ไว้

    ขอเล่าย้อนไปนิดหนึงครับ คือผมดันจองตั๋วลงสนามบินนาริตะ โตเกียวแล้วกลับทางสนามบินคันไซ โอซาก้า ตอนจองก็ไม่ได้รู้ข้อมูลเลยว่าจะเดินทางจาก โตเกียวไปโอซาก้ายังไง JR Pass ก็ไม่มี ก็เลยมานั่งหาข้อมูลปรากฎว่าก็มีเป็น Night bus ไป ราคาเริ่มต้นประมาณ 3500 เยน แต่มันดันเดินทางทั้งคืนนี่ซิ ไม่ไหว ไม่ชอบนั่งรถนานๆ เลยมาดูเป็น  รถไฟ SHINKANSEN แบบเที่ยวเดียว เดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ราคาประมาณ 14000 เยน เห็นราคาแล้วขอช๊อคแป๊ปหนึง ประมาณ 4200 บาทอะ แพงมาก เค้าถึงได้บอกกันมาว่า ต้องวางแผนการเดินทางในญี่ปุ่นดีๆ ไม่งั้นหมดตัวได้กับค่าเดินทาง

    และคืนหนึงที่กำลังนั่งหาข้อมูลอยู่ ผมก็เจอเพจอาแป๊ะโพสต์ เกี่ยวกับ โปรโมชั่นเส้นทางบินในประเทศญี่ปุ่นของ Peach Airline พอดี เปิดจองตอนสี่ทุ่มเวลาบ้านเรา ผมก็อ้าว มันอีก 5 นาทีนี่หว่า ก็เลยรีบเข้าไปจองเลยครับได้เป็นไฟล์ทวันที่ 25 พ.ย. เวลา 20.55 น. มา ตอนนั้นผมดีใจมากที่จองได้มาในราคา 3170 เยน ต่อคน (ตั๋วรวมภาษีและค่าตัดบัตร) ประหยัดเงินและประหยัดเวลาไปได้เยอะครับ



          มาถึงสนามบิน นาริตะ Terminal 1 ประมาณ 18.30 น. ครับ ก็เดินไปที่จุด Check-in ของ Peach Airline ก็พบว่าเปิดให้เริ่ม Check-in เวลา 19.25 น. พวกผมก็นั่งรถอยู่แถวๆ นั้นจนถึงเวลา Check-in จนท ก็มาถึงป้ายออกแล้วมาเปิดคอมฯ รอ จากนั้นก็ให้ ผู้โดยสาร ทำการ Check-in ด้วยตัวเองเลย ไม่มี จนท ทำให้นะครับ

ขั้นตอน ก็ง่ายๆ ดังนี้เลยครับ
1.นำ Barcode ที่อยู่ในใบจองไปสแกน ที่เครื่อง (อย่าลืม Print ใบจองมาด้วย ที่ได้จากเมล์ตอบกลับตอนที่จองตั๋ว)
2.เลือกผู้โดยสารที่จะทำการเช็คอิน และกดยืนยัน ทำตามขั้นตอน (สามารถกดเปลี่ยนภาษาได้)
3.เสร็จขั้นตอน ระบบก็จะ Print Boarding Pass ออกมาให้ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการ Check-in ครับ ง่ายและรวดเร็วมากครับ

      และสำหรับใครที่ซื้อน้ำหนักกระเป๋าไว้ก็นำกระเป๋าไปโหลดได้เลยครับ จะมี จนท อยู่ แต่ตรง Check-in ไม่มี จนท นะครับ เราต้องทำเองตามขั้นตอนด้านบน

         เรื่องน้ำหนักกระเป๋า Peach airline จะแตกต่างจากสายการบินต้นทุนตำอันอื่นที่เคยเจออยู่ คือเค้าจะคิดค่าโหลดเป็นใบครับ 1 ใบน้ำหนักต้องไม่เกิน 20 กิโลกรัม/ใบครับ เช่นถ้าคุณมีกระเป๋า 2 ใบ แต่หนักใบละ 10 กิโล ถ้าจะโหลดก็ต้องซื้อสำหรับโหลด 2 ใบนะครับ จะแชร์น้ำหนักกระเป๋าเหมือนแอร์เอเชียไม่ได้

        ส่วน กระเป่าถือขึ้นเครื่องนั้น สามารถถือกระเป๋าสัมภาระ + กระเป๋าถือขึ้นได้ รวมกันต้องไม่เกิน 10 กิโลครับ ใครไม่มีกระเป๋าโหลดก็เดินไปรอขึ้นเครื่องได้เลย ครับ

ดูรายละเอียดได้ที่เว็บของ Peach airline ได้เลยครับ  http://www.flypeach.com/home.aspx




       และแล้วก็บินมาถึง โอซาก้าครับ ผมนี่หลับยาวมาตั้งแต่เครื่องยังไม่ Take off จนล้อมาแตะพื้นที่สนามบินคันไซนี่แหละครับถึงตื่น บินมาถึงเวลาประมาณ 22.25 น. ครับ เดินลงมาจากเครื่องอากาศหนาวใช้ได้ต้องรีบเดินเข้าตัวอาคาร เที่ยวนี้ไม่ได้เลือกที่นั่ง ก็เลยได้นั่งแยกกับเพื่อนซะงั้น 

            Peach Airline จะมาจอดที่สนามบินคันไซ Terminal 2 นะครับ ตรงนี้เป็น Hub ของ Peach Airline เลย จากนั้น เราก็ต้องนั่ง Shuttle bus ไปที่ Terminal 1 ครับเพราะเป็นอาคารหลักของสนามบินคันไซ เดินออกมาก็เจอรถบัสจอดรออยู่หลายคันครับ ก็ต่อคิวขึ้นได้เลย ขึ้นได้ฟรีนะครับ

             และพอมาถึงที่ Terminal 1 ก็มุ่งหน้าไปที่ KIX Airport Lounge ที่อยู่ตรงชั้น 2 เพราะคืนนี้เราจะไปนอนที่บริเวณนั้น และระหว่างเดินไปก็ เห็นสถานีรถไฟ และ Office ของรถไฟ JR พอดี แต่มาถึงก็เกือบๆ จะเที่ยงคืน  Office JR ปิดไปแล้วตั้งแต่ตอน 23.30 น. กะว่าจะมาซื้อตั๋วไว้ใช้พรุ่งนี้ซะหน่อย ไม่ทัน เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าค่อยมาซื้อ ก็เดินไปหา KIX Airport Lounge ต่อดีกว่า แต่ยังไม่ทันได้เดินหาเลยครับ เดินเข้าตัวอาคารไป ก็เจอเลย และก็เจอทุกอย่างที่เราต้องกี่ ทั้ง Locker ฝากกะเป๋า ร้านอาหาร ห้องน้ำ และเก้าอี้สำหรับนอน คือทุกอย่างมีอยู่ด้านหน้าของ KIX Airport Lounge เลยครับ สะดวกมาก


           

            และ เราก็ได้ที่นอน ของเราคืนนี้ครับ ตอนผมมาถึงยังว่างอยู่เยอะเลยครับ แต่อีกซักพักคนมาเต็มพื้นที่ ครับ ฮ่าๆ ดีนะมาเร็ว จับจองที่นอนได้เลยนะครับ ไม่ต้องอาย นักท่องเที่ยวมานอนเป็นปกติครับ และตรง Information Center มีผ้าห่มให้ยืมฟรีด้วยนะครับ เดินเข้าไปตรงทางข้างๆ KIX Airport Lounge แต่ผมพกถุงนอนมาด้วยครับ นี่เป็นสาเหตุที่กระเป๋าผมเต็มตั้งแต่ขามา ฮ่าๆ แต่ก็ดีมากครับ มันทำให้ผมหลับสบายมาก ปกติผมนอนแปลกที่จะนอนไม่ค่อยหลับ ระหว่างนั้น ก็จะมี จนท มาเดินตรวจ ขอดู Passport ดูเสร็จยกมือไหว้และบอกว่าขอบคุณค่ะ อีกต่างหาก คือ จนท มาตรวจไม่ต้องกลัวนะครับ เค้าดูเป็นมิตร มากครับ ส่วนของถ้าใครกลัวหาย ก็เอาไปฝากไว้ตรง Locker นะครับ แต่ของผมก็ใช้วิธีเอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่วางกั้นไว้หัวท้าย ส่วนของอย่างอื่นพวกกล้องอะไร ก็วางไว้ตรงกลางและเอาผ้าคลุมไว้ครับ ตามเสา ก็มีปลั๊กไฟอยู่นะครับ ใครจะชาร์ทก็ไปนอนใกล้ๆ เสาเอานะ สำหรับวันนี้ก็ได้เวลานอนแล้ว


วันที่ 5     26/11/2014

วันที่ 5 มาถึงเช้าวันสุดท้ายของทริปครับ เรามีเวลาแค่วันเดียว แต่เราจะไปเที่ยว 2 เมืองครับ ทั้ง เกียวโต และ โอซาก้า เลย

       เริ่มต้นด้วยการตื่นแต่เกือบๆ ตี 5 ไปอาบน้ำครับ ที่นี่มีที่อาบน้ำที่โอเคมากครับ เราจะมารีวิวให้ดู ฮ่าๆ อยู่ใน  KIX Airport Lounge นี่เองครับ ก่อนมาก็หาข้อมูลมาเรียบร้อย ก็เข้าไปติดต่อตรง Counter เลยครับ ว่าจะมาอาบน้ำ เค้าก็จะอธิบายขั้นตอน ต่างๆ บอกทาง และถามว่าจะเอาผ้าเช็ดตัวไหม แต่ผมไม่เอาครับ ผมพกมาด้วย ฮ่าๆ



อธิบายคร่าวๆคือ
1.ห้องอาบน้ำมี 5 ห้อง
2.เมื่อติดต่อที่  Counter  เค้าจะให้ตะกร้าอุปกรณ์เรามา ในนั้นจะมีที่เป่าผม กุญแจห้อง และเหรียญสำหรับหยอดอาบน้ำ

3.สามารถเข้าใช้ห้องได้ 1 ชั่วโมง ในห้องนั้นจะแบ่งเป็น 2 ห้องย่อย คือห้องอาบน้ำและห้องแต่งตัว
3.1 ห้องอาบน้ำมีอุปกรณ์อาบน้ำ พวกสบู่ แชมพูให้ หยอดเหรียญที่เค้าให้มา อาบน้ำได้แค่ 15 นาที นับเฉพาะเวลาที่น้ำไหล เราสามารถกด Start หรือ Stop ได้ช่วงที่ถูสบู่ สรุปอาบ 5 นาทีก็เสร็จ 555
3.2 ห้องแต่งตัวก็มีพื้นที่วางกระเป๋าใหญ่ๆ ได้ มีโคมไฟ มีปลั๊กไฟ 2 ปลั๊กไว้เสียบชาร์ทแบตได้ มีเก้าอี้ให้นั่งแต่งตัวได้

4.อาบเสร็จเก็บตะกร้าและอุปกรณ์มาคืนที่หน้า Counter พร้อมจ่ายเงิน 510 เยนครับ เป็นอันเรียบร้อยครับ


อาบน้ำเรียบร้อย เอากระเป๋าและของต่างๆ ฝากไว้ ที่ Locker เตรียม พร้อมเดินทางครับ ช่วงเช้าเราจะเดินทางไปเที่ยวที่เกียวโตก่อน ช่วงบ่ายๆ ค่ำๆ เราถึงจะกลับมาเที่ยวที่โอซาก้า ก่อนอื่นต้องไปที่ Office JR เพื่อซื้อบัตร Kansai area pass 1 day ราคา 2060 เยนครับ จากนั้นก็เดินทางได้เลย จากสนามบินคันไซ จะมีรถไฟด่วนไปเกียวโตเลยนะครับ ชื่อว่า HARUKA ครับ ตอนแรกจะไปรอบ 6.30 น. ซึ่งอันนี้ผมไม่ทัน 555 ก็เลยไปรถไปด่วนอีกอัน แต่จะจอดทุกสถานีเลย จะใช้เวลามากกว่า HARUKA ครับ แต่ไปถึง Kyoto ประมาณ 8.40 น. ก็โอเครับได้ ขาไปนี่เป็นช่วงคนเค้าไปทำงานพอดี รถไฟจะแน่นมากๆ ดีพวกผมขึ้นที่ต้นทาง จึงได้นั่งและหลับยาวไปเลย

****************

ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ (Fushimi Inari Shrine) 

พอมาถึงสถานี Kyoto ก็ลงเปลี่ยนสายครับ สำหรับที่แรกที่เราจะไปนั่นคือ ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ (Fushimi Inari Shrine) 

การเดินทางไปก็ง่ายๆ ครับ
รูปแผนที่  


ถ้าเราเริ่มต้นจากสถานี Kyoto ก็นั่งรถไฟ JR มาลงที่สถานี อินาริ (Inari) หมายเลข 1 ตามรูปครับ เดินออกมาจากสถานีก็เจอประตูทางเข้าเลยครับ มาง่ายมาก

           มาดูข้อมูลกันครับ ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ (Fushimi Inari Shrine) หรือที่คนไทยชอบเรียกกันว่าศาลเจ้าแดงหรือศาลเจ้าจิ้งจอกเป็นศาลเจ้าชินโต(Shinto)ที่มีสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองเกียวโต(Kyoto) มีชื่อเสียงโด่งดังจากประตูโทริอิ (Torii Gate) หรือเสาประตูสีแดงที่เรียงตัวกันข้างหลังศาลเจ้าจำนวนหลายหมื่นต้นจนเป็นทางเดินได้ทั่วทั้งภูเขาอินาริ ที่ผู้คนเชื่อกันว่าเป็นภูเขาศักสิทธ์ โดยเทพอินาริจะเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ การเก็บเกี่ยวข้าว รวมไปถึงพืชผลไร่นาต่างๆ และมักจะมีจิ้งจอกเป็นสัตว์คู่กาย(บ้างก็ว่าท่านชอบแปลงร่างเป็นจิ้งจอก) จึงสามารถพบเห็นรูปปั้นจิ้งจอกมากมายด้วยเช่นกัน ศาลเจ้าแห่งนี้มีความเก่าแก่มากถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ก่อนสร้างเมืองเกียวโตซะอีก คาดกันว่าจะเป็นช่วงประมาณปีค.ศ. 794 #ข้อมูลจากเว็บขอบคุณครับ






           อุโมงค์เสาโทริอิ (Torii) ที่อยู่ใน ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ (Fushimi Inari Shrine) เมืองเกียวโต ว่ากันว่าเวลาใครมาขออะไรแล้วได้ตามที่ขอ เค้าก็จะนำเสาโทริอิ มาตั้งไว้ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ จนปัจจุบันมีเสาโทริอิ นับเป็น หมื่นๆต้น ตั้งเรียงกันจนไปถึงยอดเขา ต้องใช้เวลาเดินประมาณ 2-3 ชั่วโมงกันเลยทีเดียวครับ





          วันนี้ผมมา ฟ้าไม่ค่อยใสครับ มีฝนตกปรอยๆ บ้าง บางช่วง แต่ก็กางร่มเที่ยวได้ครับ ศาลนี้คนมาเที่ยวค่อนข้างเยอะครับ กรุ๊ปทัวร์ลงก็ไม่ใช่น้อย เดินเที่ยวถ่ายรูป ที่นี่อยู่พักหนึงครับ พอ พอใจแล้ว ประมาณ 9 โมงกว่าๆ ก็เตรียมเดินทางไปที่ต่อไปครับ


วัดคิโยมิซึเดระ (Kiyomizu-dera Temple) หรือ วัดน้ำใส

มาถึงที่ๆ 2 สำหรับเกียวโต ไปต่อกันที่ วัดคิโยมิซึเดระ (Kiyomizu-dera Temple) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ วัดน้ำใส (สวยมากกครับ)

การเดินทาง มาได้หลายทางครับ แต่ผมเลือกวิธีที่ 2 นะ

1.โดยรถบัส : ออกจาก KYOTO Station ที่ Karasuma Exit (ด้านทิศเหนือของสถานี) ไปที่ป้าย Kyotoeki-mae ซึ่งเป็นจุดจอดรถประจำทางหลายสาย ดังนั้นที่ป้ายนี้จึงซอยเป็นป้ายย่อยๆหลายป้าย ให้ขึ้นรถประจำทางสาย 100 (ที่ป้าย D1) หรือ สาย 206 (ที่ป้าย D2) ทั้งสองสายลงที่ป้ายเดียวกันคือ Kiyomizu-michi (清水道) ใช้เวลาประมาณ 12 นาที (ราคาเดียว ¥220) จากนั้นเดินต่อไปอีกประมาณ 650 เมตร (13 นาที) ก็ถึง Kiyomizu-dera Temple #ข้อมูลจากเว็บขอบคุณครับ

2.โดยรถไฟ : ไปลงที่สถานี Kiyomizu-gojo (Exit4)สายสีชมพู หมายเลขที่ 2 ตามรูป[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ จากนั้นเดินต่อไปอีกนิดก็จะเจอวัด
          ไปจริงไม่นิดอะครับ กิโล กว่าเลย มีป้ายบอกเป็นระยะครับ หาไม่ยาก แต่แนะนำให้ขึ้น Taxi ก็ได้นะครับ น่าจะประมาณ 750 เยน แต่พวกผมก็เดินทั้งขาไปและขากลับครับ ตอนที่ต่อรถไฟมา จากสถานี Tufukuji มา Kiyomizu-gojo มันจะใช้ Kansai area pass ไม่ได้นะครับ ผมก็หยอดตู้เอาครับ ไปอีก 2 สถานี 150 เยนครับ (ดันลืมเอาบัตร Suica ออกจากกระเป๋าที่ฝากไว้ Locker ซะนี่ ) 



       มาถึงในวัดก็รู้สึกประทับใจมากครับ วัดสวยมาก สมกับที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกครับ ที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งที่ที่คนเยอะมากครับ 
ระหว่างเดินมาก็เจอผู้คนใส่ชุดกิโมโน เดินกันมากมายครับ ทั้ง นักท่องเที่ยวและคนญี่ปุ่นเอง แต่ 2 ท่านในภาพเป็นนักท่องเที่ยวนะครับ


     ที่เห็นใบแดงๆ นั่น เป็นต้นซากุระ นะ ใครไปนี่นี่ช่วงปลายเดือนมีนาถึงต้นเดือนเมษา ก็จะได้เห็นเป็นดอกซากุระ บานสะพรั่ง สวยงามไม่แพ้ช่วงใบใม้เปลี่ยนสีเลย เป็นอีก 1 ช่วงที่น่าเดินทางไปเที่ยวเลยครับ ภาพนี้ถ่ายจากมุม มหาชน บริเวณสะพานไม้



ตัวอาคารถูกสร้างโดยการใช้สลักยึด แทนการใช้ตะปู




ศาลเจ้าจิชุ (Jishu Shrine) 

          หรือที่เรียกกันว่าศาลเจ้าแห่งความรัก เชื่อกันว่าเป็นที่สถิตของเทพโอคุนินุชิ โนะ มิโคโตะ (Okuninushi no Mikoto) เทพแห่งความรักและความราบรื่นในชีวิตคู่ นับว่าเป็นที่เลื่อมใสศรัทธามากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น  ในศาลเจ้าจะมีหินสองก้อนเรียกว่า “เมกุระอิชิ” แปลว่า หินตาบอด หรือ หินแห่งความรัก  หินสองก้อนตั้งอยู่ห่างกัน 18 เมตร นี่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของศาลเจ้า ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าถ้า
สามารถหลับตาแล้วเดินจากหินก้อนหนึ่งไปยัง หินอีกก้อนหนึ่งได้โดยท่องชื่อคนรักไว้ในใจจะทำให้ผู้นั้นสมปรารถนาในความ รัก หรือการสามารถพิสูจน์รักแท้ได้ โดยการให้คู่ของตนยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของหินแล้วปิดตา แล้วให้คนที่ปิดตาเดินมาหาคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งให้ได้ ก็จะเป็นการพิสูจน์ว่าเป็นรักแท้ #ขอบคุณข้อมูลจากเว็บครับ
    ผมก็อุส่าห์ไปลองหลับตาเดินนะ แต่ไม่สามารถไปยังหินอีกก้อนได้ 555



ชื่อวัดน้ำใส มาจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) เป็นน้ำตกที่แบ่งย่อยออกเป็นสามสายไหลลงมาภายในบริเวณวัด เนื่องจากน้ำดังกล่าวมีความใส จึงตั้งชื่อวัดตามลักษณะดังกล่าว ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า หากผู้ใดได้ดื่มน้ำใสที่วัดคิโยมิสึเดระ จะสมปรารถนาในสิ่งที่หวังไว้
น้ำบริสุทธิ์ อันมีที่มาจากเทือกเขา เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติโดยมีความเชื่อว่า
หากดื่มน้ำจากแม่น้ำสายที่      1    จะประสบความสำเร็จด้านการเรียน การศึกษา
                                      2    จะสมหวังเรื่องความรัก
                                       3    จะมีสุขภาพแข็งแรงทำให้มีอายุยืนยาว #ขอบคุณข้อมูลจากเว็บครับ
และผมกำลังคิดว่า ผมดื่มสายไหนไปหว่า จำไม่ได้แล้ว ฮ่าๆ



ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle)  

ได้เวลากลับไปเที่ยวโอซาก้าแล้วครับ จุดหมายต่อไปคือ ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle)  

การเดินทาง
            ก็นั่งรถไฟของ JR จาก Kyoto กลับมาที่ Osaka ครับ แล้วก็ต่อ Subway มาลงทีสถานี Tanimachi 4-Chome ( Exit 1B) ครับเดินทางมาได้หลากหลายนะครับ เปิด Hyperdia หรือกางแผนที่รถไฟเลยครับ ผมจะชอบกางแผนที่รถไฟฟ้ามากกว่าครับ เพราะมันจะเห็นภาพรวมกว่า แต่ Hyperdia ก็ช่วยได้เยอะครับ



เรา มาถึง ปราสาทโอซาก้า ก็เกือบสี่โมงเย็นแล้วครับ ตั้งใจจะมาก่อนมืด ก็โอเคครับ มาทัน ยังไม่มืด ออกจากสถานีรถไฟก็เดินตามป้ายไปเลยนะครับ ก็รู้สึกว่าเดินไกลอยู่นะครับ แต่เดินไปชมใบไม้เปลี่ยนสีข้างทางไปก็เพลินดีครับ ไปถึงเขตปราสาทโอซาก้า ก็ค่อนข้างกว้างมากครับ กว่าจะเดินไปถึงปราสาทโอซาก้า ก้ไกลเหมือนกัน ฮ่าๆ วันนี้เจอคนไทยมาถ่าย Pre-Wedding กันด้วยครับ แต่วันนี้อากาศไม่ค่อยเป็นใจเท่าไรนะผมว่า ฟ้ามันไม่เปิด ฝนตกปรอยๆ บ้างเป็นระยะ



เดิน อยู่ที่นี่กันซักพักหนึงครับ ไปถึงตัวปราสาทโอซาก้าถ่ายรูปนิดหน่อย แต่ไม่ได้เข้าไปข้างในตัวปราสาทนะครับ ตั้งใจมาเก็บภาพแค่ด้านนอกเฉยๆ เดี๋ยวครั้งหน้ามีเวลาเยอะๆ ไว้ค่อยเข้า เราเสร็จจากที่นี่ประมาณ 5 โมงเย็นนิดๆ ครับ อยู่ไม่นาน ฟ้าก็มืดแล้ว ก็เลยพากันเดินทางต่อไปที่หมายสุดท้ายของเรา


ย่าน Shinsaibashi

มาถึงที่สุดท้ายของเราครับย่าน Shinsaibashi ที่มีป้ายกูลิโกะ

การเดินทาง
1.นั่งรถไฟใต้ดินสายสีแดง Midosuji line มาลงที่สถานี่ Namba
2.นั่งรถไฟของ JR มาลงที่สถานี่ Namba ก็ได้เช่นกันครับ สำหรับคนที่มี Pass ของ JR
เลือกเอานะครับว่าสะดวกแบบไหน ตรงไหนใกล้กว่า



      เนื่องจากว่าไม่ได้ดูมาว่ามันต้องออกไปประตูไหน ก็เลยออกประตูไหนมาก็จำไม่ได้แล้ว แต่ออกมาก็คิดว่าถามคนเอาก็ได้มั้ง คงรู้จักแน่ๆ ละ ออกมาก็นี่เลย เจอเป้าหมาย ก็เลยเข้าไปถามเลย เปิดรูปนายกูลิโกะให้เค้าดู ปรากฏว่า Sorry , I don’t know. พวกผมก็เลยบอกไม่เป็นไร เค้าอาจจะเป็นคนต่างถิ่น หรือ ไม่สะดวกคุยภาษาอังกฤษ จากนั้น ก็เปิด GPS เลยก็เดินไปเรื่อยๆ จนเจอแยก แอบเห็นคนไทยและได้ยินเค้าคุยกัน คิดว่าเราน่าจะมีเป้าหมายเดียวกันแน่ๆ ก็เลยเดินตามเค้าไป 555 แล้วก็เจอกับป้ายกูลิโกะที่เราตามหา



      ไม่รู้ทำไมคือ ผมอยากมาที่นี่มากครับ มาถึงแล้วก็รู้สึกฟินสุดๆ ถ่ายรูป ถ่าย VDO อยู่หลายรอบ ยิ่งป้ายรุ่นนี้สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วย ฮ่าๆ รุ่นนี้เป็นป้ายรุ่นที่ 6 แล้วนะครับปิดปรับปรุงไปสองสามเดือน ดีนะเสร็จก่อนผมมา เต็มอิ่มแล้วก็ได้เวลาเดินช๊อป เดินดูของครับ มีเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก่อนจะกลับไปสนามบินคันไซ นึกว่าจะไม่ได้เดินดูของซะแล้ว ตอนอยู่โตเกียวแทบไม่มีเวลาเดินดูของเลยครับ เราเก็บที่เที่ยวอย่างเดียว 555



      ได้ของเกือบครบ ช๊อปเสร็จประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง ก็เลยคิดว่าเราควรจะเดินทางไปสนามบินได้แล้วละ ตอนมาเราแอบสังเกตเห็นแล้วละว่ามี สถานี JR อยู่ใกล้ๆ กับใต้ดินที่เรามา เป็นสถานี Namba ซึ่งเราสามารถใช้ Kansai area 1 day pass ของเรา นั่งไปจนถึงสนามบินได้เลย ครับ



ถึงสนามบินประมาณ 21.40 น. เครื่องออก 00.10 น. มีเวลาอีก 2 ชั่วโมง ขอไปเสียตังค์อาบน้ำอีก 1 รอบ จะได้สบายตัวหน่อยเวลานั่งเครื่องกลับ เข้าไปอาบใน KIX Airport Lounge เหมือนเดิมครับ พร้อมเอากระเป๋าลาก เข้าไปจัดกระเป๋าใหม่ด้านในด้วย พื้นที่ก็กว้างอยู่นะผมว่า คือกางกระเป๋าใบใหญ่จัดของได้เลยครับ อาบรอบนี้ค่อนข้างเร่งด่วนนิดหนึง 



           ออกมาตอน 22.30 น. ก็พากันรีบลากกระเป๋า ไป Counter Thai Airasia X เพื่อทำการโหลดกระเป๋า ไปถึงก็พบว่าแถวค่อนข้างยาวครับ แต่ดีที่เราทำ Web Check-in มาแล้ว ก็เลยสามารถเอากระเป๋าไปโหลดได้เลย ไม่มีคิวเลยตรงนั้น จากนั้นก็รีบเข้าไปด้านในเลย เดี๋ยวต้องไปหาดูของใน Duty free อีก พอผ่าน ตม. ไปก็ค่อนข้างสบายๆ แล้วครับ เพราะมีเวลาเหลืออีก 1 ชั่วโมง มีเวลาเดินดูของ จากตรง Duty free ต้องนั่งรถไฟออกไปที่ Gate อีกนะครับ รถไฟมาเป็นรอบๆ ก็อย่าเดินดูของจนเพลินกันนะครับ เดี๋ยวจะตกเครื่องเอา

            และก็ได้เวลาขึ้นเครื่องกลับครับ Flight : XJ611 วันที่ 27/11/2014 ออกจากสนามบินคันไซเวลา 00.10 น. และถึงสนามบินดอนเมืองเวลา 04.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น ขากลับโชคดีมากครับ ที่ไม่มีเสียงเด็กเลย บนเครื่องตลอดทางคือเงียบมากครับ หลับยาวได้เลย

    เดินทางถึงสนามบินดอนเมืองตรงเวลา กว่าจะออกสนามบินได้ก็ประมาณ ตีห้า เดินทางกลับที่พักและแปดโมงทำงานต่อเลย ฮ่าๆ แอบอิจฉาเพื่อนเล็กน้อย เพราะเพื่อนลาต่อได้อีกวัน ฮ่าๆ



>>>  จบทริปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกด้วยตัวเอง 21-27/11/2014  <<<


ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน และอ่านมาจนถึงตรงนี้ครับ


ถ้าถามว่าการไปญี่ปุ่นครั้งนี้ ได้อะไรบ้าง (ถามเองตอบเอง 555)

         สำหรับผม ผมก็คิดว่าเป็นประสบการณ์การเดินทางที่ดีมากๆ ครับ สำหรับครั้งนี้ 

1.ได้เห็นบ้านเมืองที่เจริญ เป็นเมืองที่เหมาะกับทุกคนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นคนแก่ คนพิการ นักท่องเที่ยว หรือคนปกติก็ตาม เมืองเค้าค่อนข้างมีสิ่งอำนวนความสะดวกต่อการดำเนินชีวิต ที่พร้อมมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวผมรู้สึกว่ามันสะดวกมาก อยากเข้าห้องน้ำเหรอ นั่นไงห้องน้ำ คือห้องน้ำสาธารณะเยอะมาก เห็นได้เรื่อยๆ , หิวน้ำเหรอ ตู้กดน้ำเพียบ ,ไม่อยากถือของหนักระหว่างเที่ยว นั่นไง Locker ฝากของ มีตลอด
2.ได้เห็นผู้คนที่เป็นระเบียบมาก เข้าคิวกันนี่แถวยาวเหยียด เอาจนผมอึ้ง
3.ได้เห็นว่าจริงๆ การเดินทางโดยรถไฟในญี่ปุ่นไม่ได้ยากเลย มันแค่เยอะเฉยๆ ค่อนข้างจะมีป้ายหรือสัญลักษณ์บอกที่ชัดเจนกว่าอีกหลายประเทศมาก
4.ได้เห็นการขึ้นรถไฟที่ห้ามคุยโทรศัพท์ หรือทำอะไรที่เป็นการรบกวนผู้อื่น
5.ได้เห็นว่าข้าวที่ญี่ปุ่นถูกๆ ก็เยอะนะ ครั้งหน้าไปไม่ต้องพกมาม่าไป เข้าใจไหม ฮ่าๆ
6.ตอนจ่ายเงินเวลาซื้อสินค้าหรือบริการ เค้าจะมีถาด ให้เราวางเงินที่จะจ่ายไว้ในถาดนะ เค้ารับเงินไปก็จะทวนถามเราอีกทีว่ารับมาเท่านี้นะ
7.ได้รับรู้ว่า การบริการที่นี่ ผู้ให้บริการมี Service Mind สูงมาก เต็มใจบริการสุดๆ
และได้เห็นวัฒนธรรมที่ต่างออกไปอีกมากมายครับ สรุปโดยรวมคือ ชอบมากครับ ไปช่วงใบไม้เปลี่ยนสีด้วย ยิ่งทำให้ประทับใจครับ ต้องหาโอกาสไปอีกแน่นอน ^^



เรื่องค่าใช้จ่าย 

               ผม ทำตารางสรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ดูกันเลยครับ ว่ามันไปหนักกับค่าอะไรซะเยอะ ถ้าจะวางแผนเที่ยวด้วยตัวเองแบบประหยัดจะควรจะต้องคุมและวางแผนตรงส่วนไหน ให้ดี 
               แต่ไม่ใช่ว่าจะประหยัด แล้วตัวเองหรือคนไปด้วยต้องลำบางนะ อันนั้นผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร อันไหนที่คิดว่าสะดวกเราก็เอาไปเถอะ เที่ยวทั้งที เช่นเช่า Pocket  wi-fi :ซื้อน้ำหนักกระเป๋า หรือซื้อไอติม 340 เยน ประมาณ อันละ 100 บาทก็ซื้อกินถ้าอยากกิน บ้านเราอันละ 9 บาท 555 ช๊อค ถ้าจะประหยัดจริงๆ ไม่เอาพวกนี้ก็ประหยัดลงได้อีกเดือบ 3 พันอะ แต่ก็เน้นสะดวกเราแหละครับ



1.ค่าตั๋ว

               จองตั๋วโปรฯ ได้ สำหรับผมก็จะประหยัดค่าทริปลงไปได้เยอะครับ เดี๋ยวนี้ก็มีสายการบิน Lowcost มาเปิดบินตรงไปญี่ปุ่นแล้วครับ อย่างตอนนี้ก็มี Thai AirasiaX และ Nokscoot ก็กำลงจะเปิดเส้นทางนี้ละ อย่าง Thai AirasiaX จับจังหวะช่วงเค้าปล่อยตัวโปรฯ ดีๆ ครับ บางทีก็ปล่อยมาถูกมากจริงๆ แต่ถ่าช่วงปกติ ก็ต้องเปรียบเทียบราคาดีๆ ครับ เพราะอาจจะแพงกว่าสายการบิน Full service ด้วยก็ได้

2.ค่าเดินทางในญี่ปุ่น

               สำหรับญี่ปุ่น จะไปหมดเยอะกับค่าเดินทางภายในประเทศครับ พวกค่ารถไฟ ต้องวางแผนดีๆ ครับว่าเราจะไปเที่ยวไหนบ้าง เดินทางยังไง จะใช้ Pass อะไรบ้าง การใช้ Pass จะช่วยประหยัดได้เยอะครับ สำหรับการเดินทางของผม

3.เรื่องค่า กิน ค่าอาหาร

                ญี่ปุ่นข้าวทั่วไปไม่ได้แพงนะ ตามตลาด 300-400 เยน ยังมีเลย ร้านทั่วไปก็เริ่มต้นที่ 600 เยน ก็เห็นเยอะเลยครับ ตีไปง่ายๆ 100 เยน = 30 บาท ถ่าใครอยากประหยัดมากๆ จริงๆ นะ ข้าวกล่องตาม Family mart พวกข้าวห่อสาหร่าย ซูชิ เยอะมากครับ หลากหลายราคา ราคาจะอยู่ช่วง 100-500 เยนนี่แหละครับแล้วแต่ว่าเป็นอะไร
                ก่อนไปผมก็ดูรายการเที่ยวญี่ปุ่นนะ เค้าก็ไปกินแต่ร้านที่มันราคา 2000 เยน อัพ ผมก็เลยนึกว่าข้าวญี่ปุ่นมันคงแพงมาก โหมื้อละ 2000 เยน มันก็ 600 บาทเลยนะ เล่นเอาผมนี่พกมาม่า ปลากระป๋อง ขนมปัง กาแฟ 3 in 1 น้ำพริก ขนมกินเล่น เยอะอะ ฮ่าๆ เอาไปเยอะจนกินไม่หมดครับ เหลือกลับมาเมืองไทยอีก ครั้งหน้าบอกเลย ไม่ขนไปหรอก รู้ที่กินไม่แพงละ ฮ่าๆ
                สรุปเรื่องของกินที่ญี่ปุ่นไม่ได้แพงครับ มันแล้วแต่ว่าเราจะเลือกกินอะไร

ทริปนี้ค่อนข้างหมดน้อยกว่าที่คิดไว้มากครับ จริงๆ ถ้า และผมก็จะไปประหยัดทางด้านที่พักด้วยเพราะไม่ได้เลือกที่พักที่ราคาแพง เพราะเอาจริงๆ แล้ว อยู่ที่พักแค่นอนเท่านั้นครับ ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเที่ยวข้างนอกมากกว่า


>> การวางแผนเรื่องการจ่ายเงินเรื่องเที่ยวของผมจะเป็นแบบนี้ครับ
1.จองตั๋วก่อนเดินทางนานๆ เช่นทริปนี้ 5 เดือนก่อนเดินทาง ก็คือเดือนนี้ก็จ่ายค่าตั๋วไป
2.จองที่พัก 2-3 เดือนก่อนเดินทาง ช่วงเดือนนี้ก็จ่ายเงินค่าที่พักไป
3.สำหรับเดือนที่เหลือก็เก็บเงินไว้สำหรับไปเที่ยว ครับ

ผมว่าแบบนี้มนุษย์ เงินเดือน ธรรมดา ถ้าอยากเที่ยว ก็สามารถที่จะออกไปเปิดประสบการณ์ได้ครับแบบนี้


ขอขอบคุณ ข้อมูลการเที่ยว จากพันทิพย์  โดย https://pantip.com/topic/32965847
Fanpage https://www.facebook.com/MJourneyPrabin


Advertisement

Rookie Enter

Welcome to The Rookie Sports shop. Rookie is an sports shop online and news letter for teenagers.

uptop

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน