Latest News


Japan again : Snow falls in Hokkaido | เมื่อหิมะตกที่ฮอกไกโดตอนฉันไปญี่ปุ่นอีกครั้ง


เมื่อมีความคิดอยากที่จะเที่ยวขึ้นมา เชื่อได้เลยว่าจุดมุ่งหมายของการท่องเที่ยวของคนในประเทศเขตร้อนๆ อย่างเราเนี้ย หนึ่งในนั้นต้องมีหิมะอยู่ในรายการแน่นอน ใช่มะๆ สักครั้งในชีวิต อยากจะเห็นหิมะสักครั้งนึงก็ยังดี ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นแหละ หนึ่งในคนที่ตกหลุมพรางความขาว ความฟุ้ง ความละเอียดของมันเข้าเต็มประตู แต่หารู้ไม่ว่า...(ทำหน้าชั่วร้าย)
เอาล่ะ จะไปเจอหิมะทั้งที...ก็ต้องเอาให้มันสุดๆหน่อยสิเว้ย พวกเมืองที่มีหิมะตกเยอะ ตกหนักติดอันดับต้น ๆ ของโลกอย่าง Sapporo หรือ Otaru งี้ เอาให้ฟิน ให้สาสมกับความอยากเจอไปเลย
ก่อนจะตกลงกับทริปนี้ ผมมีความลังเลอยู่สองที่ ระหว่างไปเหยียบทะเลทรายที่มุยเน่ หรือจะไปเหยียบหิมะที่ฮอกไกโดดี เป็นคุณคงเลือกได้ไม่ยากใช่ไหมล่ะ แต่กับผมมีหลายปัจจัยนะครับ ทะเลทรายเดินทางง่ายกว่า ใช้งบน้อยกว่า(มาก) แถมไปที่เดียว ได้ทั้งทะเลทรายและทะเลจริง ๆ เลยด้วย แต่ แต่ แต่ สุดท้ายยย...ก็เลือกหิมะจ่ะ ตามประสาคนไม่เคยเห็นไง ทั้งขาวทั้งนวลขนาดนั้น ไม่หลง(กล)ก็บ้าแล้นนน... 
และแล้วความอยากแอ่วก็ท่วมทุ่งข้าวสาลี ตู้มมม เกิดเป็นโกโก้ ครั้นช์!! (ไม่ใช่แล้วโว้ย!)


ก่อนจะไปฮอกไกโด ผมขอเสนอที่นี่ก่อนนะครับ 

Nui. Hostel & Bar Lounge

ที่นี่ที่เดียวตอบโจทย์ฮิปเตอร์สายเมาได้สบาย 
ตอนเช้านั่งจิบกาแฟดีๆ แกล้มขนมอบใหม่ ๆ กลิ่นนี่ห๊อมมมฟุ้งไปทั่วร้าน เติมพลังก่อนออกไปตะลุยโตเกียวได้ดีเชียว 
ตกเย็นกลับมา อ้าววว เป็นบาร์ซะงั้น! ดริ๊งเลยสิ รออะไร กับแกล้มอร่อย ฟินจนลืมความเหนื่อยเลยล่ะ เนื้อย่างหวานๆ กินกับเครื่องดื่มก็ดี แบบโปะข้าวมาเป็นถ้วยก็มี เอ็นไก่ทอดก็กรุบกรอบ ลูกค้าคนอื่น ๆ ที่มาก็ดูจะกรุบ ๆ เหมือนกัน ฮาาาาา.... ของดีราคาไม่แพง ซัดให้หนำใจ พอใจแล้วกดลิฟต์ขึ้นชั้นบน มุดที่หลับที่นอนของตัวเองได้เลย ไม่ต้องเมาทิ่มหัวตำออกจากร้านไปไหนเลยจ่ะ
ผมพักที่นี่ก่อนหนึ่งคืน เพราะจองตั๋วแบบแยกมา บินตรงไม่ไหวฮะ แพงงง!! แบบนี้ก็ดีด้วย ได้แวะปักหมุดระแวกโตเกียว ซึ่งผมยังไม่เคยมา ได้พักเหนื่อยระหว่างการเดินทางด้วย เลือกพักที่นี่ถือว่าคุ้มครับ


"เธอคือสีขาว"
เคยมีใครมอบคำนิยามดีๆ /แอบแฝงดี ๆ ให้คุณบ้างไหมล่ะ ยิ่งคนนั้นเป็นคนพิเศษ คุณก็จะยิ่งชอบในสิ่งที่เขาอ้างอิงขึ้น อย่างเวลาคุณคบกับแฟน แล้ววันนึง เขาเกิดใช้สรรพนามใหม่เรียกคุณแทนชื่อว่า 'หมูน้อย' งี้ เรียกเสียงหวานๆ ท้ายเสียงยานๆ แหม่...ได้ยินแล้วตัวบิดตัวงอกันไป เริ่มชอบในความมีน้ำหนักเยอะของร่างกายตัวเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ โดนเพื่อนเรียก 'อีอ้วน' ดันโกรธเป็นฝืนเป็นไฟ เอาไปโพสต์ด่า กระแหนะกระแหนอยู่หน้าฟีดเป็นสามวัน เจ็ดวัน แล้วใครจะไปรู้...ที่แฟนคุณเรียกว่า หมูน้อยนั่นน่ะ...ตัวมันน้อยประมาณไหนกัน 
ก็ตามที่กล่าวข้างต้นละครับ เมื่อเขาให้ผมเป็นสีขาว ผมก็เริ่มชอบสีขาวมากขึ้น สนใจในสิ่งต่าง ๆ ที่มีสีขาว และหิมะก็ขาว มันก็เลยเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เกิดทริปนี้ขึ้นมา (ถุงก๊อบแก๊บผมเตรียมไว้ให้ข้างเก้าอี้แล้วครับ อยากอ้วกเชิญหยิบได้เลยตามสบาย) 


OTARU 
โอตารุ หรือ โอ่ะต้ะหรุ คือจุดหมายแรกที่ไปครับ และจุดหมายแรกของทริปก็ต้อนรับเราได้ถึงอกถึงใจเลยทีเดียว
วันที่ 1 กุมพาพันธ์ 2560 เครื่องบินลำโตกว่าปลาชะโดหลายเท่าได้พาสารร่างของผมไปถึงสนามบิน New Chitose ก็ช่วงบ่ายค่อนไปทางเย็นแล้ว ที่สนามบินนี่แหละ คือที่ที่ผมได้สัมผัสหิมะครั้งแรก มันเบา ๆ ฟู ๆ เหมือนทุเรียนสุกทอดกรอบเลย (พูดแล้วก็หิว) ละลายไวมากเมื่อได้สัมผัสกับฝ่ามือ คล้าย ๆ เกล็ดน้ำแข็งที่บขูดออกจากช่องฟรีทเนอะ แต่มีความละเอียดกว่า บวกกับลมที่แรงประมาณนึง ทำให้มันพัดฟุ้งไปทั่วไม่สาดเป็นสายเหมือนฝน ฟินจนลืมความหนาวกันไปชั่วขณะนึงเชียว ก่อนออกจากสนามบินก็ต้องไปต่อคิวแย่งชิงบัตรเบ่ง(Hokkaido Rail Pass) กับพี่จีน(อีกแล้วครับท่าน ไปไหนก็เจอ) ซึ่งใช้เวลานานมาก ตรงนี้ กว่าจะออกสนามบินได้ ก็ประมาณ6โมงแล้ว ฟ้ามืดไปละ วิสัยทัศน์ 2 ข้างทางแทบจะไม่เห็นอะไรกันแล้ว แต่ก็พอเห็นว่าหิมะตกเยอะมาก อาคารบ้านเรือนถูกปกคลุมไปด้วยหิมะหนาๆ โว้ววววว มันภาพในฝันที่อยากจะเจอเลยเว้ย สวย สวย สวย

หลังจากที่แวะเอากระเป๋าใหญ่ไปฝากไว้ที่สถานี Sapporo แล้ว ถึงสถานีปลายทางก็เป็นเวลา 2 ทุ่มนิด ๆ มั้ง ไม่แน่ใจ ออกจากสถานีเพื่อเดินไปยังที่พัก และช่วงเวลาต่อจากนี้แหละ คือความโหดสุดในการเจอหิมะของทริปเลย 
การเดินฟ่าหิมะครั้งแรก เราต้องเดินลัดเลาะขึ้นไปตามเนินเขาของโอตารุ ซึ่งเป็นตอนกลางคืน เสื้อผ้าที่ใส่ ณ ตอนนั้น ยังน้อยชิ้นนัก หมวกมีไม่หยิบออกมาใช้ หูเย็นไปดิ ถุงมือก็ไม่ใส่ กางเกงก็ใส่แค่ยีนส์ชั้นเดียว ไม่มีลองจอห์น รองเท้า...ผ้าใบธรรมดา ๆ ที่พื้นรองเท้ายิ้มเรียบกริบ เหมาะแก่การเหยียบหิมะขึ้นลงเขามากกก!!! (ประชดนะ) เดินไปสักแปป เอาล่ะ ลื่น~ เดินอีกหน่อย ลื่นนน~ เปิดแมพหาที่พักยังไม่ทันจะได้ถึงครึ่งทาง ดับจ่ะ ความเย็นน็อคมันไปสะแล้ว หนาวก็หนาว หูแข็ง มือแข็ง หน้าเหน้อ หิมะพัดใส่จนชาไปหมด ที่พักก็ต้องหา ทางเดินนี่แบบว่าขึ้น ๆ ลง ๆ ทั้งน้านน แล้วพื้นถนนตรงที่จะต้องเดินมันดันเป็นหิมะที่โดนเหยียบซะจนเรียบเนียนอะ ช่วยสร้างเสริมประสบการณ์ลื่นได้ดีมาก โหดร้ายยย! ทำไมต้องต้อนรับคนบอบบางอย่างเราได้ทารุณเยี่ยงนี้ กระซิกๆ
สุดท้ายถึงที่พักแล้ว เชคอินแล้วเรียบร้อย ไม่ออกไปไหนแล้วครับ จากที่ตั้งใจจะออกไปเที่ยวต่อ ไม่เอาละ ขอหลบอยู่ในห้องให้ฮีทเตอร์ปลอบประโลมใจจากเหตุการณ์อันเลวร้ายที่พึ่งผ่านพ้นไปดีกว่า



ประสบการณ์อาบน้ำรวม(ชาย) หล่อ ล่ำ ขาว ตี๋ เกาหลี จีน ญี่ปุ่น (18+)
บันทึกของโอตารุยังไม่หมดนะครับ จะขอแทรกด้วยเรื่องนี้ก่อน แต่ค่อนข้างติดเรทนิดนึง จึงใส่ไว้ในส่วนของ Spoil
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
.
.
จะได้ไม่ประเจิดประเจ้อจนเกินไป (คิดอยู่นานว่าจะเขียนส่วนนี้ดีไหม)



เช้าวันใหม่ วันที่ 2 ของการเดินทาง เริ่มต้นด้วยอาหารเช้าของป้าเจ้าของเกสต์เฮ้าส์วางรอเราอยู่ริมหน้าต่างที่มีวิวบ้านเมืองของชาวโอตารุหนาแน่นไปด้วยหิมะ เมนูข้าวหน้าหมูสับผัดซอส ไข่เจียวคน แกล้มด้วยสปาเก็ตตี้และซุปมิโสะ ให้ความอร่อยแบบบ้านๆ กินไปมองหิมะที่กำลังตกไป หูยยยย ไม่อยากเชื่อตัวเอง ว่าจะมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ มันดีมากๆ ชอบช่วงเวลานั้นมากจริง ๆ 
หลังจากเช็คเอ้าท์ และได้คุณลุงของที่พักมาส่งที่สถานีโอตารุแล้ว มันก็เหลือเวลาไม่ถึงวันให้ได้สัมผัสกับโอตารุ เพราะเดียวเย็นต้องเดินทางต่อ รีบเลยจ่ะ  
จุดหมายแรกที่ไป คือคลองโอตารุ แลนด์มาร์กยอดนิยมของเมือง ถึงหิมะตกหนักก็ไม่สน ผมไม่เข็ด ทำเป็นลืมเหตุการณ์สยองของคืนนั้นไป เดินฝ่าดงหิมะอย่างมั่นใจเพราะใส่ลองจอห์นแล้ว แฮร่
ใช้เวลามะ...มั่ย...ไม่นาน(หึๆ) ก็มาถึงคลองในฝันของใครหลายคน สวย...ครับ แต่คนจะเยอะไปไหน คนจีนเยอะ!! คนไทยก็เช่นกัน ยังดีที่มีเกาหลีเข้ามาตัดบ้าง เลยไม่เสียอรรถรสการท่องเที่ยว เดินถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ จนสุดทางก็กลับ (มันก็ต้องกลับนั่นแหละ) ระหว่างทางแวะกินหอยสดที่ฟันเงินไปพันกว่าบาท!! (ได้หอยมาตั้ง 3 ตัว) นี่ข้าทำอะไรลงไป!! แต่ก็ดีละ เพราะถ้าไม่เข้าร้านนี้ ทริปนี้ผมคงพลาด ฮอกไกโดเมล่อน กับข้าวโพดขาว(อันนี้เริ่มไม่ขาวละ เอ...หรือแท้จริงแล้ว มันไม่ใช่?) อันเลื่องชื่อของฮอกไกโด ที่โครตจะหวาน และหอมมากกก!! หน้าหนาวมันยังขนาดนี้ ไม่อยากจะนึกว่าถ้าได้มากินตอนฤดูของมัน ตอนที่เก็บเกี่ยวมาใหม่ๆ จะฟินขนาดไหน พริ้มมมแน่นอน...(มีความอยากไปตอนหน้าร้อนอีก)
หลังจากนั้น ไปต่อกันที่ Otaru music box museum ไปเจอเจ้านาฬิกาไอน้ำที่เหลือแค่ 2เรือนในโลก!! คือ ญี่ปุ่นและแคนนาดา (เขาว่ามางี้// แล้มเมิงก็เชื่อเค้า?) ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร เข้าไปในร้านขายกล่องดนตรี ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรขึ้นมาอีก ผมเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มนึงว่า...ก่อนที่เขาจะมาถึงที่นี่ เขาคาดหวังกับกล่องดนตรีที่นี่มาก แต่พอพลิกดูใต้กล่องแล้วเห็นคำว่า MADE IN CHINA ถึงกับต้อง บัยยย ทันที ผมเลยไม่หวังอะไร แต่ชอบบรรยากาศในห้องโถงนี้นะ ตอนขึ้นไปชั้นสองชั้นสามแล้วมองลงมา ก็สวยดีครับ

นึกว่าจะไม่ได้มีอะไรให้ตื่นเต้นละ บังเอิญสายตามันเหลือบไปเจอป้ายที่มีรูปโตโตโร่ติดอยู่ที่พนัง แล้วลูกศรชี้ออกไปข้างนอก เหอะ ผมไม่ลังเลที่จะอยู่ต่อเลย เดินออกไปค้นหาเทพตัวโปรดของตัวเองทันที 
โว้ววววววว โตโนโร่น้ำแข็งงงงง!!! ตรงข้ามก็สนุปปี้ในท่าขอกอด เห็นแค่นี้ก็กระดี๊กระด๊าแล้วครับ 
ถ่ายรูปคู่สิรออะไร ใครจะพลาด เอาให้พอใจ เอาให้พอใจ ซึ่งมันไม่พอแค่นั้นหรอก มันยังมีของจาก Studio Ghibli ให้ช๊อปอีกเพียบที่ตึกข้างหลังนี่  ถึงตรงนี้ต้องท่องเลยไว้ ไอ แฮฟ สติ... ไอ แฮฟ สติ...
และก็ปิดท้ายด้วยการไปเข้าคาเฟ่ของ LeTao ที่มีแต่คนรีวิวไว้ว่า ห้ามพลาด!! อร่อยมากกกก...!! อะ เชื่อก็เชื่อ อร่อยก็อร่อย เข้าทานขนมกับจิบกาแฟร้อนเบาๆ แก้หนาวซะหน่อย ก่อนจะยิงยาวไป ฮาโกดาเตะ จุดหมายต่อไป



Hakodate 
เมืองเรียบ ๆ ง่าย ๆ แต่กลับไม่รู้สึกขาด ทุกอย่างดูสบายๆ ลงตัวไปหมด ผมใช้เวลาอยู่ที่นี่ 3 คืน 2 วัน
รู้สึกเวลาผ่านไปไวมาก เที่ยวเพลินมากครับ มีแต่ที่สวย ๆ และของกินอร่อยๆ เพลินนน~
หลังจากกระโดดขึ้นรถไฟที่โอตารุ กว่าจะถึงที่นอนก็ปาเข้าไปสี่ทุ่ม อดทนอดกลั้นผ่านช่วงเวลาเดินทางยาว ๆ ร่วม 5 ชั่วโมง นั่งจนรากงอกครับโผ้มมมม คืนนั้นหลังเช็คอินเสร็จก็ทำได้แค่ลงไปซื้อของกินที่ Lawson แล้วกลับไปนอน 

วันใหม่เริ่มต้นขึ้น การภจญภัยครั้งใหม่ก็ต้องเกิด (จะบอกทำไม) แต่ก่อนจะไปทำอะไรที่ไหน ขอไปซื้ออุปกรณ์กันภัยหนาวเพิ่มก่อนเหอะ โชคดีที่มี muji อยู่ไม่ไกลจากที่พักเท่าไหร่ ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ กับสถานีเจอาร์ฮาโกดาเตะนั่นเลย ชั้น 5 ครับ ใครจะปักหมุดที่นี่ ก็จำไว้ว่าชั้น 5 หรือไม่ก็จำตัวอักษรคันจิที่เป็นโลโก้ของแบรนด์เอาก็ได้ ไม่มีโลโก้ที่เป็นภาษาอังกฤษให้ดูนะครับ และถ้าคุณเดินไปถามคุณพี่พนักงานในห้างแบบเคสผมแล้วละก็ เขาก็จะบอกให้คุณลงไปชั้นใต้ดิน ไปเจอกับขนมโมจิแทน T_T (ตอนนั้นเลยต้องถามพนักงานโมจิ อีกรอบว่า มูจิ อยู่ไหน เขาก็ถามกลับมาว่า English? ประมาณว่า มูจิที่ว่านี่ คือชื่อในภาษาอังกฤษใช่ไหม ถึงจะได้ความว่า ชั้น 5 )
เป้าหมายต่อไป คือ Red Brick ครับ แต่ก่อนหน้านั้น ไปซื้อตั๋วรถรางแบบเหมาซะก่อน เพื่อจะได้ขึ้นรถได้คุ้มๆ แต่ผิดคาดครับ วันนั้นทั้งวัน ขึ้นรถแค่ 2 รอบ ตก 400¥ ค่าตั๋ว 1 วันซื้อมาในราคา 600¥ ขาดทุนไปตั้ง 1 รอบรถไฟ แถมดันซื้อมา 2 วัน ขาดทุนไปก็ 400¥ พอดีๆ (คุ้มมมมมจ่ะ งืออออ)
Red Brick Warehouses ติดกับท่าเรืออ่าวฮาโกดะเตะ เดิมเป็นโกดังค้าขายสินค้าเก่าที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ ปัจจุบันได้รับการปรับปรุงให้มีการขายสินค้าใหม่ (แหม่...สำนวนการเขียนดี /ตบหัวได้นะครับ) 
ลักษณะนั้นก็ตามชื่อครับ Red = แดง, Brick = อิฐ ~ Red Brick = อิฐแดง... เขียนให้มันดีกว่านี้หน่อยสิโว้ย!! (เมิงบอกเขา? / กูนี่แหละ!!) 
ตัวโกดังหรือในโกดัง ผมไม่สนใจเท่าไหร่ เพราะกะตังค์ไม่มี แต่ชอบที่ท่าเรือครับ สวยมากมาย อารมณ์ประมาณอยู่เมืองนอก(ซึ่งเมิงก็อยู่ไม่ใช่?) องค์ประกอบโดยรวมยิ่งสวยครับ ภาพที่ได้จากการมองกว้างๆ อารมณ์ประมาณอยู่เมืองนอกเลย
(( T_T)\(-_ - )*เพี๊ยะ!!) ใจเย็นสิครับ ที่บอกแบบนี้ ในความหมายของผมมันเหมือนกับว่าอยู่เมืองนอก เมืองไหนสักเมืองที่ไม่ใช่ญี่ปุ่นเลย มันมีทัศนียภาพที่แตกต่างออกไปจากความนิปปอนที่เห็น ๆ มาอะ ใจอยากจะเขียนว่า เหมือนอยู่ในยุโรปหรือ รัสเซีย โดยอ้างอิงจากการที่ ฮอกไกโดมีพื้นที่ไม่ไกลจากรัสเซีย เลยได้รับอิธิพลมา...ก็กลัวจะโดนย้อนกลับ ว่าเคยไปรัสเซียมาแล้วรึ? ก็ไม่เคยจ่ะ คาดเดาและเชื่อตามที่อ่านมาล้วนๆ เลยขอบรรยายออกมาว่า อารมณ์ประมาณว่าอยู่เมืองนอกเลย (พอแล้ว!!)


เวลาในการเที่ยวแต่ละวัน ๆ ของทริปจะสั้นมากครับ มันมืดไวมาก (ตามคอนเซปของหน้าหนาว) วันนึงเลยออกไปเที่ยวไหนไม่ได้มากมาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่คุ้มนะ ได้เดินฝ่าหิมะให้ร่างกายทรมานไปเรื่อย ๆ ก็ถือว่าคุ้มแล้วสำหรับผม (ตอนแรกจะตั้งชื่อกระทู้ว่า ทริปพาร่างกายไปทรมาน) หลังจากกินข้าวโปะสาหร่าย และไก่ทอดที่อร่อยมากกก!!! (ไก่ทอดอร่อย ไม่เลี่ยนน้ำมัน สาหร่ายก็ให้เยอะจนหาข้าวไม่เจอ คุ้มค่ามากกับราคาเพียงแค่ 450¥ ตอนนั้นเห็นมันถูกสุดในเมนูเลยสั่งครับ) และชิมกาแฟสตาร์บักส์ของที่นี่เรียบร้อยก็เดินเอามือกุมไข่ ไม่ใช่! 
จะบอกว่าเวลาเดินข้างนอก มือต้องซุกกระเป๋าเสื้อโค้ทครับ ไม่งั้นไม่ไหว เย็นมากมาย สภาพเลยไม่ต่างคนเดินเอามือกุมไข่นั่นแหละ แฮร่ 
เดินออกจาก Red Brick ไปที่หมายต่อไปกันครับ คือ เนินฮาจิมัน – Hachimansaka 
ขอเรียกว่า สโลปแฟน เดย์ ละกัน (ไม่ใช่ติ่งที่ถึงขนาดต้องตามรอยนะ ซึ่งอันที่จริงผมดูแล้วก็ไม่ค่อยจะอินเท่าไหร่ และตอนนี้ก็รู้สึกทึ่งมากกว่า ที่ในหนังสามารถเที่ยว Otaru, Noboribetsu, Sapporo, Hakodate  ได้ภาย 1 วัน โดยที่ยังมีช่วงเวลาไฟดับให้จีบกันได้ตั้งนานสองนานด้วย ว้าวววว)
เดินจับพลัดจับผลูไปเรื่อย จนมาถึงเนิน ๆ นึง 
คิดว่าใช่สโลบนี่แหละ 
ก็เดินขึ้นไปครับ สักพักหันกลับหลังไปมอง 
ทำไมไม่เห็นทะเลวะ? 
สงสัยคงต้องขึ้นไปอีก 
ได้ครึ่งทางก็หันกลับไปมองอีกรอบ 
โห....สุดยอดเลย 
(วิวสวยอย่างกับในหนัง?) เปล่า...เห็นแต่ตึกสุดยอดเลย 
สรุป เดินผิดซอยจ่ะ แต่ก็สวยดี ถ่ายรูปได้..ไม่ว่ากัน ๆ ซึ่งสโลบแฟน เดย์ มันอยู่ถัดไปอีกซอยเอง กว่าจะไปถึงฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ณ ตอนนั้นก็มันสวยอยู่นาาา มองลงไปเห็นอ่าว เห็นเรือ กับฟ้าอึมครึม... สวยอะไรอย่างนี้! บอกกับตัวเอง ขณะที่มือเปิดโทรศัพท์เทียบดูภาพสโลปนี้ตอนฟ้าใส ๆ เมฆปุกปุยลอยล่องอยู่บนนภาสีฟ้าสด เหอะ...ไม่เท่าไหร่หรอก ของข้าสวยกว่า สวยกว่า สวยกว่าาา!! (T ^ T)
...บอกกับใจตัวเอง ถ้าเหนื่อยก็พัก ถ้าเขา(โชคชะตา)ไม่รักก็พอ ไม่ต้องคาดหวัง ไม่ต้องนั่งรอ... รออะไรล่ะ รอพรุ่งนี้เช้ารึไง!? เพลงหนูนาลอยมา มีแต่จะพาให้ชอกช้ำ ลงไปซดราเมงร้อน ๆ เผ็ด ๆ แก้หนาวแล้วกลับไปนอนเถอะยู

วันที่ 2 ของฮาโกดาเตะ เดินออกไปเติมพลังที่ตลาดปลาข้าง ๆ สถานีรถไฟ JR Hakodate เฉกเช่นเมื่อวาน ติดใจข้าวหน้ารวมทะเล ฟินมากกกก... เนื้อปลาสดมาก แต่ที่ชอบมากที่สุดคือไข่ปลา มันสดมาก (เมิงจะมากอีกมากแค่ไหน? วงเล็บเสียงสูง) เปรี้ยว หวาน มัน ฟิน อธิบายรสชาตไม่ถูก - -" แต่มันคือไข่ปลาที่อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมาเลย แต่วันนี้ลองเปลี่ยนร้านดูบ้าง อ่า...ไม่น่าประทับใจเท่าร้านเมื่อวานนะ แต่ก็อร่อยอยู่ กินได้อยู่... ต้องกิน เพราะสั่งมาแล้ว  
ที่หมายต่อไปคือ Goryokaku Tower ตึกชมป้อมดาว 5 แฉก และวิวเมืองฮาโกดะเตะ ค่าตั๋วเข้าตึกแพงนิดนึง ผมสันนิษฐานว่าการที่แพงได้ขนาดนี้...คงเพราะมันมีค่าจ้างให้พนักงานสาวสวยที่เอาแต่พูด พูด พูด (ภาษาญี่ปุ่น) ในระหว่างขึ้นลิฟต์ไปชมวิว พูดโดยไม่ต้องร้องขอ พูดโดยไม่สนใจว่าในลิฟต์จะมีแต่ทัวร์จีนกับไอ้คนไทยหัวโด่ฟังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอยู่ก็ตาม ใจก็ระแวงว่าระหว่างพูดแอบแทรกคำด่ามาบ้างป่าวเนี่ย ด่าโดยมีสีหน้าและน้ำเสียงที่สดใส "อิเดาะ จะเข้ามาทำไมกันเยอะแยะ มาก็มาทำบ้านเมืองกุฉกกะโป่ก คุยกันเสียงดัง กุจะขึ้นรถไฟไปไหนทีก็ลำบาก มีแต่กระเป๋าใบบักเอ้กของพวกเมิงขวางทางเต็มไปโหมะ กุก็ทำอะไรมิดั่ย เลยต้องมายืนยิ้มแอบด่าเมิงยุ่ในลิฟต์แบบนี้' แล้วก็ธิบายสาระตามสคริปต่ออย่างไม่สนผีสนสนสางใด ๆ เอาน่า...ฟังๆ ไปก็เพลินดีเหมือนกัน จะได้คุ้มค่าตั๋วด้วย 
ใช้เวลาฟังพนักงานสาวอยู่ครู่นึง ลิฟต์ก็เปิดออก แสงจ้าสาดส่องเข้ามาทักทาย(หรือสมน้ำหน้า) คำแรกที่ผุดขึ้นมาในใจคือ "โห!!"  เมื่อสายตาปรับสภาพได้ เพราะทัศนียภาพเบื้องหน้ามันสวยมาก สวยจริง ๆ คุ้มกับที่โดนด่าในลิฟต์ ไม่ใช่! กับค่าตั๋วที่จ่ายไปต่างหาก วิวเมืองสะอาด ๆ ที่ตัดกับภูเขาแต้มหิมะปานเทือกเขาเมืองนอกเมืองนา(อีกรอบ) อีกด้านก็ตัดกับทะเลแสนงาม...ฟ้าสีครามสดใส มองเห็นเรือใบ...แล่นอยู่ในทะเล(เอาเข้าปะ) เล่าไปจะหาว่าเปิ้นขี้โว เดียวมาคว่ำปากมองบนใส่เปิ้นอีก เอาเป็นว่าอยากให้มาเห็นกับตาดีกว่าครับ งามแต้ ๆ  เดินชมวิวจนหนำใจ ก็ลงไปเดินที่ป้อมดาวต่อ (เอิ้น'ดาว'กะดั่ย ง่ายดี มาเรียกโก.รง โกเรียว ยุ่งยาก จำไม่ค่อยได้ อะไรก็ไม่โร่ แม่ม) ตอนดูข้างบนเห็นว่ากว้างมาก แต่เดินจริงๆก็ใช้เวลาไม่นานนะ  "ฮาโหล มนุด...ข้างล่างนี่ไม่มีอะไรนะ จงดูอยู่ข้างบนตึกนั่นแหละ" <-แมวพิมพ์


หมดความสนใจกับป้อมดาวประมาณบ่ายสามโมง สถานีถัดไปคือ Mt. Hakodate Ropeway ที่เมื่อวานก็ใกล้ทางขึ้นอยู่รอมร่อแล้ว แต่ก็ไม่ได้ขึ้นไป แอบเสียใจที่ค่าตั๋วที่นี่แพงกว่าตึกดูป้อมดาวอีก แถมไม่มีสาวประจำ Ropeway ด้วย กระซิก ๆ
แม้จะเป็นช่วง 3 โมงกว่า ๆ แต่ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงอย่างชัดตา คนก็เยอะด้วยเช่นกันซึ่งส่วนมากก็ทัวร์จีนนั่นแหละ คนไทยก็เยอะครับ รู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านขึ้นมาทันที สวยอีกแล้ว...วิวจากที่สูง ๆ ไม่ว่าจะมองจากที่ไหน มันก็รู้สึกว่าสวยเหมือนกันหมดเลย ว่าไหม? และที่นี่มันยิ่งจะต้องสวย เพราะถึงกับติดอันดับ 3 วิวกลางคืนสวยที่สุดในโลก!! เป็นรองก็ฮ่องกงและเมืองเนเปิลส์ ประเทศอิตาลี และก็ตามคาดครับ คนเยอะชิบ!! แต่ก็คุ้มแหละ วิวอันดับโลกเชียวนะ ถ่ายรูปเพลิน ลื่นกันเพลินด้วย ฮาา
หลังจากกะเบียดกระเสียดผู้คนจำนวนมากมายหลายเชื้อชาติลงมายังพื้นดินเบื้องล่างได้แล้ว มืดมากแล้ว หนาวมากด้วย ราเมงร้อน ๆ แก้หนาวก่อนกลับที่พักสักชามดูจะเมค เซนส์ ที่สุด ปิดการเที่ยวของวันนี้ไปอย่างอิ่มเอมใจ 
พรุ่งนี้ต้องลากกระเป๋าลาฮาโกดะเตะแล้ว ถึงแม้จะเที่ยวได้ไม่กี่ที่ แต่ทุก ๆ ที่ และทุกขณะของที่นี่ มันทำให้ได้ประทับใจอยู่ตลอดเวลา คุ้มกับการมา และรู้สึกว่าถ้ามีโอกาส ก็อยากจะมาอีกครั้งแน่นอน


ก่อนจะไปที่หมายถัดไป ขอเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับหิมะที่เกิดขึ้น และสิ่งรู้สึกได้ของผมก่อนนะครับ เห็นขาว ๆ สวย ๆ แบบนี้ แสบยิ้ม! ซึ่งก็แปลกที่คุณหรือใครจะไม่เชื่อ ว่ามันขนาดนี้เลยหรอ ดูในรูปก็ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหน คิดอยู่ในใจ...ถ้ากูเจอนะ จะกระโจนลงไปนอนกางแขนกางขาขยับไป ขยับมา ถ่ายรูปอัพลงไอจีให้หนำใจเลยเหอะ
นั่นแหละ ผมก็เคยคิด...จนได้มาเจอ -*- แต่ถึงอย่างไร ผมก็ยังรู้สึกว่าชอบหิมะอยู่นะ

หิมะเป็นความโหดร้ายที่สุดอย่างนึงเท่าที่ธรรมชาติสร้างได้ 
ผมอ่านเจอประโยคนี้จากหนังสือเล่มหนึ่ง ก่อนที่จะไปผจญกับทริปนี้ ซึ่งตอนนั้นใจไม่นึกกลัวสักนิด หิมะขาวๆ เนี่ยนะ...โหดร้าย! ตึงบ่เจื่อแต้ (ยิ้มมุมปาก) แต่พอมาตอนนี้ เชื่อคุณคนเขียนเขาเถอะครับ มันทารุณจริงๆ และก็เป็นอย่างใครที่เคยได้เจอหิมะ แล้วกลับมาพูดว่า "อย่าให้หิมะตกในไทยเลย" ผมขอเข้าก๊กด้วยอีกคน อย่าเลย...จริงๆ เอาตามที่ผมเห็นและคิดนะ มันยุ่งยากมากๆเลย กับการจะต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางหิมะอันสวยงาม

- เสื้อผ้า เวลาออกไปข้างนอกคุณต้องมั่นใจ!! ว่าเสื้อผ้าของคุณนั้นหนามากพอและกันน้ำที่ละลายแล้วของหิมะได้ ถุงมือ ผ้าพันคือ ที่ปิดหูหรือหมวก อย่าให้ขนาด(ทริปนี้จ่ายค่าเสื้อผ้าไปโหดนะครับ) 

- รองเท้า ควรเป็นรองเท้าหุ้มข้อ เนื้อกันน้ำได้ และพื้นรองเท้านั้นไม่ควรเป็นพื้นเรียบ เพื่อการเกาะเกี่ยวพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะให้ดียิ่งขึ้น(กันไม่ให้ลื่น) รองเท้าธรรมดาๆ อย่างที่เราใส่กันนี่ มันก็ใส่ได้แหละ เพราะผมก็ใส่เดินตลอดทั้งทริป (ตอนแรกกะไปซื้อใหม่ที่โน้น แต่พอถึงเวลามันไม่มีโอกาสได้หาซื้อ ก็ต้องทนใส่มันอย่างนี้แหละ) พ่อคุณเอ้ยยย คืนแรกนี่ ลื่นปรึ๊ดๆ หวิดล้มไปสี่ห้ารอบ เพราะไอ้ความเรียบของพื้นน้ำแข็งและรองเท้านี่แหละ เรียบกับเรียบเจอกัน แฉะด้วย ไม่ไหลให้มันรู้ไป แต่ผมไม่ล้มเลยนะตลอดจนกลับ (นับเป็นความภูมิใจของตัวเองอย่างยิ่ง) เพราะได้ศึกษาวิธีการเดินบนหิมะ มาจากหนังสือหลาย ๆ เล่ม ซึ่งมันจำแนกได้หลายลักษณะ หลายประเภทของหิมะนะ ลองหาอ่านกันดู แต่ที่ผมผ่านมาได้ก็ยึดวิธีหลัก ๆ คือ
1. เวลาเดิน อย่าลงเท้ากับพื้นแบบตรง ๆ ให้แบะ ๆ เท้าออกสัก 40-45 องศา มันจะไม่ลื่น (ใช้ภาษาได้บ้านมากกก...)
2. สังเกตหิมะ แยกแยะว่าแบบไหนเดินได้ แบบไหนควรเลี่ยง 
    2.1 หิมะที่ตกใหม่ ๆ ทับกันหนา ๆ นั่นน่ะ เดินไปเลย สบายใจได้ ไม่ลื่น
    2.2 หิมะที่คนเดินเหยียบไปก่อนหน้าเราแล้ว แต่ยังไม่ผ่านการเหยียบมาก ก็เดินตามได้ โอเคอยู่
    2.3 หิมะที่คนเหยียบกันจนมันอัดแน่น เรียบ ๆ แล้ว ระวังตัวไว้เลย อย่าไปไว้ใจมัน พึ่งเจอกันไม่นานอย่าไปวางใจ เดียวมันหักหลังเอาแล้วตัวเรานั่นแหละจะช้ำ 
    2.4 หิมะในพื้นที่ที่ไม่มีการตกใหม่ของหิมะมานานพอสมควรแล้ว ระวังเป็นพิเศษเลย เพราะมันเริ่มจะอัดแน่นเป็นน้ำแข็งกันแล้ว เคสนี้คือโหดสุด มันไม่ไว้หน้าใครที่ไหนทั้งนั้น เอานายกมาเดินก็ลื่น เอาประธานาธิบดีมาวอร์กโชว์ก็ล้มหัวทิ่มหัวตำได้  ยิ่งทางเดินที่เป็นทางต่างระดับด้วยแล้วนั้น หาที่เกาะเอาไว้เหอะ เท้านั่นแบะเข้าไว้ แบะเยอะ ๆ ใจก็ภาวนาให้ผ่านมันไปให้ได้ พ่อแก้ว แม่แก้ว เรียกมาให้หมด (เรียกมาลุ้น มาเชียร์ว่าจะล้ม/ไม่ล้ม) 
    2.5 หิมะบริเวณขอบ ๆ ทางเดินที่ยังไม่ค่อยมีใครเหยียบนั้นมีเปอร์เซ็นต์ความปลอดภัยเยอะสุด ผมเดินเกาะขอบทางเดินตลอดเลยรอดมาได้นี่แหละ แต่ก็ต้องสังเกตด้วยนะ ว่าแถวนั้น หิมะบนพื้นมันหนาเท่าไหร่ ด้านข้างระหว่างทางเป็นทางระดับเดียวกันไหม จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบเดิน ๆ ไป ขาหายลงไปครึ่งขาหรือทั้งขา แล้วงานจะเข้าเอา ขาเปียก รองเท้าเปียก ไม่เป็นอันได้เที่ยวกันพอดี 

- ฮีทเตอร์ ถ้าหิมะตกในไทย บ้านทุกหลังก็จะต้องซื้อฮีทเตอร์ เปลืองกันไปอีก ทั้งค่าเครื่อง สิ้นเดือนก็ค่าไฟ

- การเดินทาง ข้อนี้ผมละโคตรกลัว ลำพังคนส่วนนึงขับขี่กันแบบสุนัขไม่รับประทานอยู่แล้ว ใจร้อนบ้างล่ะ ขับเร็วบ้างล่ะ ผ่าไฟส้ม/ไฟแดง ปาดหน้าปาดหลัง ไล่ยิงกัน ไปยาลน้อย...ไปยาลใหญ่ เมื่อทั้งหมดทั้งมวลนี้ บวกความลื่นจากหิมะบนพื้นถนนเข้าไปล่ะแม่คุณเอ้ยยยย!!! คำว่า Ship Hai or Bun Rai ไม่ไกลตรงหน้าแน่นอน

- การเก็บกวาด หรือการกำจัดหิมะ ถ้าเป็นพื้นที่สาธาระณะ ก็ต้องมีการเพิ่มหน้าที่นี้เข้ามา (นึกดูนะ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตรงส่วนนี้) ส่วนพื้นที่ส่วนตัว บ้านเรือนของตัวเอง เราขยันพอที่จะออกมาตักหิมะที่ขวางทางเข้าบ้าน, โกยมันออกจากรถหรือไม่ หรือปล่อยมันท่วมบ้านไปช่างยิ้ม นี่ยังไม่รวมตอนมันละลายด้วยนะ แค่คิดก็เหนื่อย

- ข้าวปลาอาหาร การเกษตร...แล้วโชคชะตาพาไปแล้วกันถ้ามันตกนะ ซึ่ง...ความเป็นจริงแล้ว ก็รู้กันอยู่ว่าเป็นยังไง

เหลืออีกครึ่งทริปขอยกไปกระทู้หน้านะครับ เพราะมันยังมีอีกเยอะมาก จุดหมายต่อไปที่อยากจะฝากให้ตามอ่านกันต่อ
Noboribetsu - Sapporo - Otaru Snow Light Path Festival - เทศกาลเปิดบูทขายของ (Sapporo Snow Festival)
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ครับ _/\_ เดี๋ยวเจอกัน ตอนนี้ขอตัวไปหยอดตู้กาชา กาชา ก่อนเน้อ 


つづく


Chuttie Journey


Advertisement

Rookie Enter

Welcome to The Rookie Sports shop. Rookie is an sports shop online and news letter for teenagers.

uptop

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน